ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 15,752 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 67 ลดลง 7.9% หรือลดลง 1,350 ล้านบาท จากครึ่งแรกของปี 66 ที่มีกำไรสุทธิ 17,102 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตามการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในประเทศ
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานเติบโตที่ 26.0% หรือ 9,128 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการรับรู้รายได้เต็มจำนวนจากบริษัทลูกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้ควบรวมมาในปี 66 และกำไรจากการดำเนินงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 1.3% หรือ 25,273 ล้านบาท จากสิ้นเดือน ธ.ค.66 โดยมีปัจจัยบางส่วนมาจากสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ปรับตัวลดลง 3.5% ตอกย้ำนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดรัดกุมภายใต้บริบทที่ภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยังมีการเติบโตโดยรวมอยู่ที่ 0.8% จากแรงสนับสนุนต่อความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี
เงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 4.2% หรือจำนวน 76,787 ล้านบาท จากสิ้นเดือน ธ.ค.6 ปัจจัยหลักมาจากเงินรับฝากประจำ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.31% จาก 3.52% ในช่วงครึ่งแรกของปี 66 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 66 แม้ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 26.6% หรือจำนวน 4,708 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 66 ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 66 การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 43.3% ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 66
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.05% ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 243 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 128.8%
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.87% เทียบกับ 18.24% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.66
ณ วันที่ 30 มิ.ย.67 สินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่จำนวน 72,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,107 ล้านบาท หรือ 9.1% จากสิ้นเดือน มี.ค.67 และจำนวน 11,492 ล้านบาท หรือ 18.7% จากสิ้นเดือน ธ.ค.66 โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพจากสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศและสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศ
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.05% ณ สิ้นเดือน มิ.ย.67 เทียบกับ 2.69% ณ สิ้นเดือน มี.ค.67 และ 2.53% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.66
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 128.8% ณ สิ้นเดือน มิ.ย.67 เทียบกับ 141.5% ณ สิ้นเดือน มี.ค.67 และ 149.1% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.66 ตามลำดับ
BAY ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบบริหารความเสี่ยงด้วยความรอบคอบระมัดระวัง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ทั้งนี้ ตามแผนการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในช่วงครึ่งปีแรกที่โดยปกติจะมีการดำเนินการในไตรมาสที่สองนั้น ได้มีการกำหนดเป็นไตรมาส 3/67 ในขณะเดียวกัน กรุงศรียังคงเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนลูกค้าผ่านมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 67 ยังคงมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง กอปรกับการส่งออกที่เริ่มเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แรงส่งของเศรษฐกิจไทยยังถูกจำกัดจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวม รวมถึงข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
"ภายใต้บริบทความท้าทายดังกล่าว กรุงศรียังคงมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปีที่ 2.4% ภายใต้สมมุติฐานว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี 67"
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.99 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.92 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.77 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 307.83 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.87% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 13.75%