นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าลงทุนภายใต้งบปีนี้ราว 15,000 ล้านบาท ด้วยการมุ่งเน้นการขยายกำลังการผลิต และสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership : M&P) ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจเฮลแคร์ 1 ดีล คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
ขณะที่บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้จากการขาย 68,182 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3/67 จะได้แรงหนุนจากจากการปรับขึ้นราคาขายให้สอดคล้องกับทิศทางราคาวัตถุดิบหรือต้นทุนเศษกระดาษปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้ทั่วโลกมีมากขึ้น ดันให้ราคาเศษกระดาษสูงขึ้น
อีกทั้งในช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ เตรียมสต็อกสินค้าเพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ในช่วงไฮซีซั่นเทศกาล คริสต์มาสไปจนถึงปีใหม่ รวมถึงมองว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นได้ในช่วงปลายปี หนุนความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยบริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 150,000 ล้านบาท
"ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากภาคการผลิต การบริการและการใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน คาดว่าช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเริ่มผลิตเพื่อสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นสำหรับเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงปลายปี ในช่วงครึ่งปีหลัง SCGP มุ่งสร้างการเติบโตต่อเนื่อง" นายวิชาญ กล่าว
นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังนี้ SCGP ยังมุ่งเน้นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบกับได้ดำเนินการคุมต้นทุนพลังงานเอาไว้หมดแล้ว คาดว่าในไตรมาส 3/67 ต้นทุนพลังงานจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/67 ส่วนในไตรมาส 4/67 มีการคุมต้นทุนพลังงานเอาไว้บางส่วน
นายวิชาญ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา SCGP ได้เข้าถือหุ้น 90% ในบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญการผลิตชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์และมีห้องปลอดเชื้อที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากล เพื่อรุกขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ
และล่าสุด SCGP ได้รับการรับรอง "คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์" จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ครอบคลุมกลุ่มสินค้าตั้งแต่ เยื่อกระดาษ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์อาหาร และได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากกระบวนการพิมพ์และการขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษ ที่สามารถระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามกรอบแนวทางการประเมินของ อบก. เพื่อตอบสนองความต้องการใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของลูกค้าและผู้บริโภค
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 67 SCGP มีรายได้จากการขาย 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของภาคส่งออก และการฟื้นตัวของกลุ่มสินค้าคงทน มี EBITDA เท่ากับ 9,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/67 มีรายได้จากการขาย 34,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น การท่องเที่ยวและส่งออกฟื้นตัว ส่งผลดีต่อยอดขายบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มากขึ้น EBITDA เท่ากับ 4,635 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า สำหรับกำไรสำหรับงวด 1,453 ล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่ปรับขึ้น