นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไนซ์ คอล (NCP) ผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าผ่านทางโทรศัพท์ (Telesales), ธุรกิจการให้บริการเพิ่มยอดขายสินค้าจากการขายครั้งแรก (Upselling Service) และธุรกิจการให้บริการบริหารพนักงานขาย (Dedicated Telesale Outsourcing) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ในหมวดธุรกิจบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "NCP" เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนและร่วมเติบโตไปกับบริษัท
ด้วยจุดแข็งที่มีผู้บริหารมากประสบการณ์กว่า 20 ปี ในธุรกิจช่องทางขายผ่านทางโทรศัพท์, มีทีมงานขายสินค้าทางโทรศัพท์มืออาชีพ, มีเทคโนโลยีระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ โดยบริษัทมีระบบการดูแลข้อมูลลูกค้าตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA อย่างเคร่งครัด ตลอดจนมีระบบการบริหารคลังสินค้าพร้อมส่งที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2564 มีรายได้ 191.23 ล้านบาท กำไร 25.56 ล้านบาท, ปี 2565 มีรายได้ 181.03 ล้านบาท กำไร 20.22 ล้านบาท, ปี 2566 มีรายได้ 173.11 ล้านบาท กำไร 12.53 ล้านบาท และในงวด 3 เดือนแรก ปี 2567 มีรายได้รวม 45.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.75 ล้านบาท
เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ให้สามารถรองรับพนักงาน Telesales ได้ 200 ที่นั่งใหม่ ภายในไตรมาส 1 ปี 2568, ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ ตามการขยายโครงการคืนคนดีสู่สังคมในเรือนจำ 5 แห่ง ภายในปี 2569, พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่าย เพื่อประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการทำงาน ภายในสิ้นปี 2568 และเป็นเงินทุนหมุนเวียน นับเป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ธุรกิจ E-Commerce มีการเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็ว Telesales จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจของพันธมิตรและลูกค้า ทำให้ NCP เปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่เข้าไปสนับสนุน Digital Transformation เพื่อให้การดำเนินธุรกิจและการให้บริการลูกค้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ด้าน นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน NCP กล่าวว่า นักลงทุนให้การตอบรับที่ดีจากการเข้าฟังการนำเสนอข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญ NCP ผ่านออนไลน์ และจองซื้อหุ้น IPO อย่างล้นหลาม ด้วยความเชื่อมั่นในการบริหารงานของคณะผู้บริหาร และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ในฐานะผู้นำธุรกิจ Telesales แบบครบวงจรของประเทศ
พร้อมมองว่า การดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 บริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี สอดรับกับเทรนด์ธุรกิจ E-Commerce ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันและมีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต สะท้อนภาพการเป็นหุ้น Growth Stock สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในหลักทรัพย์ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ประกาศจะไม่เทขายหุ้นสามัญ จำนวน 99,000,000 หุ้น ออกจากพอร์ต คิดเป็น 55% ของทุนจดทะเบียน โดยจะติด Silent Period เป็นระยะเวลา 1 ปี รวมถึงได้ทำสัญญากับ บล. โกลเบล็ก ขอ Lock Up หุ้นเพิ่มเติม ส่วนที่เกินจาก Silent Period จำนวน 31,000,000 หุ้น คิดเป็น 17.22% เป็นเวลา 1 ปี
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.โกลเบล็ก ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriters) กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.00 บาท พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 28.14 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือน ย้อนหลัง ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจเข้าลงทุนเป็นจำนวนมาก ด้วยความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และศักยภาพการเติบโต
นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บล.บียอนด์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนร่วม (Joint Lead Underwriters) กล่าวว่า การเข้าตลาด mai ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน NCP เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในหลากหลายมิติ และสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
พร้อมมองว่า NCP เป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง เพราะ Telesales ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับธุรกิจ E-Commerce ที่ช่วยขับเคลื่อนการจำหน่ายสินค้าให้มีประสิทธิภาพที่สูงด้วยต้นทุนที่ถูก โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยศักยภาพของบริษัท จะทำให้ NCP ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน