ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ ในเดือนมกราคม-มิถุนายน 2567 สร้างผลตอบแทน 21.49% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 4.46% โดยในปี 2566 ให้ผลตอบแทน 11.94% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย และสูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ทำได้ 5.03% (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) นอกจากนี้กองทุนได้รับการจัดอันดับ Morningstar ระดับ 5 ดาว
นายจุมพล กล่าวว่า เวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูงและตลาดหุ้นมีความน่าสนใจเข้าลงทุนต่อเนื่องถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งโดยมีจุดเด่นที่น่าจับตามอง ได้แก่ 1) เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่คาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ โดยในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 ที่ผ่านมา GDP ของเวียดนามปรับขึ้นสูงถึง 7% จากปีก่อนจากการภาคอุตสาหกรรมและการผลิต
2) ประชากรในเวียดนามมีศักยภาพสูงทั้งด้านความสามารถด้านภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนศึกษาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ในขณะที่ค่าแรงของเวียดนามไม่สูงนัก ทำให้สามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ 3) บริษัทต่าง ๆ กระจายการลงทุนจากจีนมายังเวียดนามจากการใช้นโยบาย China+1 และเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีโอกาสรุนแรงขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้
4) การส่งออกของเวียดนามทั้งสินค้าและบริการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าสินค้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สอดคล้องกับเทรนด์ด้าน AI ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นในระดับสูงกว่าปี 2561 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 5) เศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง ทำให้การบริโภคในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น ประชาชนมีกำลังการบริโภคมากขึ้น ชนชั้นกลางเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการค้าปลีกที่อยู่เหนือระดับ 9% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยในเดือน ก.ค. ตัวเลขปรับขึ้นถึง 9.4% จากช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่าค่าเงินดองจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้การเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/2567 ที่ออกมาแข็งแกร่ง ทั้งนี้ธนาคารกลางเวียดนามได้มีการแทรกแซงค่าเงินดองในช่วงที่ผ่านมาและทำให้สกุลเงินดองมีเสถียรภาพมากขึ้น และตลาดคาดว่าค่าเงินของหลายประเทศจะแข็งค่าขึ้นได้หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ในส่วนของการเมืองเวียดนามนั้นมีเสถียรภาพสูงเนื่องปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียว ถึงแม้ว่านายเหวียน ผู จ่อง เลขาธิการพรรคสังคมนิยมซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเวียดนามได้เสียชีวิตลงในวัย 80 ปีช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดมากนัก เนื่องจากมีการวางระบบไว้เรียบร้อย โดยนายโต ลาม ประธานาธิบดีเวียดนามจะเข้ารักษาการแทนจนกว่าจะครบวาระ
เศรษฐกิจที่เติบโต การเมืองที่มั่นคง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามสร้างผลตอบแทนดีที่สุดในอาเซียน โดยคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นเวียดนามในอีก 12 เดือน และ 24 เดือนข้างหน้านับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 จะโตได้กว่า 30% และ 20% ตามลำดับ ในขณะที่ค่า Forward P/E เฉลี่ย 12 เดือนอยู่ในระดับไม่สูงมากประมาณ 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีประมาณ -0.5 SD จึงเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมเพิ่มได้สำหรับนักลงทุนระยะกลางและยาว
กองทุน PRINCIPAL VNEQ บริหารจัดการโดย บลจ.พรินซิเพิล โดยตรง ผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์จะทำบทวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้นเวียดนามภายในเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ได้เหนือตลาด และคัดเลือกหุ้นที่มีลักษณะ FMV ครบ คือ F (Fundamental) ปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่ดี มีธรรมาภิบาลสูง M (Momentum) ราคาของหลักทรัพย์มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง และมีสภาพคล่องมากเพียงพอ และ V (Valuation) มีมูลค่าที่เหมาะสมและสูงกว่าราคาปัจจุบัน กองทุนเน้นการสร้างผลตอบแทนระยะยาว และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่นักลงทุนรายย่อยเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็ก จากปรัชญาการลงทุนที่แข็งแกร่งทำให้กองทุน PRINCIPAL VNEQ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างผลตอบแทน 6 เดือนแรกได้ถึง 21.49% สูงกว่าดัชนีชี้วัดกว่า 17% ในขณะที่ควบคุมความเสี่ยงกองทุนได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด