นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ CHOW ปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทฯ เป็นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน (Holding Company) ถือหุ้นในธุรกิจเดิมที่มีอยู่ผ่านบริษัทย่อย โดยในธุรกิจเหล็กได้ตั้งบริษัทย่อย บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ขึ้นมาดำเนินธุรกิจเหล็กในเครือ CHOW ทั้งหมด คาดว่าทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2567
ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ CHOW จะมีสถานะเป็นบริษัท โฮลดิ้ง ที่ลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเหล็กถือหุ้นผ่าน บริษัท เชาว์ สตีล แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ในสัดส่วน 99.99% ธุรกิจพลังงานทดแทนถือหุ้นผ่าน บมจ. เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ ในสัดส่วน 87.36%
และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านบริษัท กัปตัน แคช โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วน 76% ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ ที่ได้ดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 2 ปี หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการในปี 2564 โดยกัปตัน แคชจะเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าที่มีความจำเป็นแต่มีความยากลำบากในการเข้าหาแหล่งเงินทุน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสังคม ตามปณิธานของบริษัทฯ
"หลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ CHOW ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนใน 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงานทดแทน ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลในปัจจุบันนั้นจะยังไม่ส่งผลกับผลประกอบการของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจมุ่งช่วยเหลือผู้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน พร้อมไปกับการพิจารณาบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถช่วยเหลือลูกค้าจากหนี้นอกระบบได้หลายราย เป็นการลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลสังคม"
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 39.53 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 9.42 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และในงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 129.91 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 12.9 ล้านบาทในปี 66 โดยผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากการดำเนินธุรกิจในทุกๆ ประเภทของ CHOW เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รายได้และกำไร ปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการเป็นการยืนยันการกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงของ CHOW ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไตรมาส 2/67 CHOW สามารถสร้างรายได้กว่า 1,039.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.44 ล้านบาท หรือ 23.7% จากทั้งธุรกิจเหล็กและพลังงานทดแทน โดยในธุรกิจเหล็ก CHOW มีกระบวนการผลิตสินค้าทั้งเหล็กแท่งบิลเลตและเหล็กเส้นที่มีประสิทธิภาพจนสามารถลดต้นทุนในการผลิตสินค้า ส่งผลให้มีสินค้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีความหลากหลายในประเภทของสินค้าตามความต้องการของลูกค้า ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตเหล็กแท่งบิลเลต บริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้มีรายได้ครอบคลุมต้นทุนคงที่ของกระบวนการผลิตตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และ 2 สะท้อนให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ธุรกิจเทรดดิ้งสินค้าเหล็ก CHOW ยังสามารถใช้ประสบการณ์ของทีมงานในการเพิ่มรายได้จากการรักษาฐานลูกค้าเดิม (เหล็กกลางน้ำ) และขยายฐานลูกค้าเหล็กปลายน้ำ เพื่อขายสินค้าประเภทเหล็กแท่งบิลเลตและเหล็กเส้นที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม จึงส่งผลให้ CHOW มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าดังกล่าว
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน CHOW มีรายได้จากการให้บริการก่อสร้างระบบผลิตกระแสไฟฟ้า (EPC) เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีสัดส่วนการขยายตัวจากโครงการ Private PPA ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้ลูกค้าและเป็นผู้ดูแลโครงการตั้งแต่ต้นจนจบ โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำนวนโครงการสะสม ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่ดำเนินการในเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนารวมกันไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ ได้ขายไฟเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีก 2 เมกะวัตต์ ซึ่งสนับสนุนให้มีรายได้ในกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน