นายกิติชัย สินเจริญกุล กรรมการ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ชี้แจงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2551 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 359 ล้านบาท ซึ่งผลกำไรดังกล่าวเป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของบริษัทย่อย 4 ล้านบาท เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 355 ล้านบาท เทียบกับผลการดำเนินงานของปีก่อนที่ผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่มีผลขาดทุน 238 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 14,777 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3,138 ล้านบาทคิดเป็นอัตราร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2550 ปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 184,825 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 หรือ 3,742 ตัน โดยปริมาณการขายยางแท่งเพิ่มขึ้น 33,614 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากความสำเร็จของฝ่ายการตลาดที่สามารถครอบคลุมตลาดได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะจากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าในประเทศจีนได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนปริมาณการขายยางแผ่นรมควันลดลง 14,983 ตัน หรือลดลงร้อยละ 29 จากความผันผวนของระดับราคายางแผ่นรมควันซึ่งอยู่สูงกว่าระดับราคายางแท่งมาโดยตลอด รวมถึงระดับราคาวัตถุดิบที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับราคาจำหน่าย ส่งผลให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตลดปริมาณการซื้อขายยางแผ่นรมควันลง เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว
ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำยางข้นและผลพลอยได้ลดลง 15,037 ตัน หรือลดลงร้อยละ 34 จากการที่อุตสาหกรรมรองรับหลัก คือ อุตสาหกรรมถุงมือยางได้ลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาจำหน่ายได้เพียงพอกับต้นทุนการผลิตของตนได้ ในไตรมาสนี้ บริษัทมีระดับราคาจำหน่ายรวมเฉลี่ย 2,400-2,800 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อตัน ราคาจำหน่ายเฉลี่ยในสกุลเหรียญ
สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2550 ในอัตราร้อยละ 32-33 เปรียบเทียบกับราคาปิดของตลาด SICOM (Singapore Commodity Exchange) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ยางแผ่นรมควันอยู่ที่ 2,810 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อตัน ยางแท่ง TSR อยู่ที่ 2,700 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อตันกับราคาปิดของตลาด SICOM ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 ราคาปิดยางแผ่นรมควันอยู่ที่ 2,587 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อตัน ยางแท่ง TSR อยู่ที่ 2,502 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อตัน แนวโน้มของราคาตลาด SICOM ก็ปรับตัวสูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกาที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 คือ จากระดับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 35.54 บาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่ 1/2550 มาอยู่ที่ 32.37 บาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกาไตรมาสที่ 1/2551 แข็งค่าขึ้นร้อยละ 9 หรือ 3.17 บาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ระดับราคาจำหน่ายเฉลี่ยในสกุลเงินบาทเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20-26 ส่วนระดับราคาต้นทุนขายปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ17-22 จากการที่ฝ่ายบริหารสามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและเดินกำลังการผลิตได้เต็มที่โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์ยางแท่งที่ประสบความสำเร็จมีอัตรากำไร (profit margin) เพิ่มขึ้นประกอบกับปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ 3.4 เป็นร้อยละ 5.9 โดยมีกำไรขั้นต้น 873 ล้านบาทเทียบกับปีก่อนมีกำไรขั้นต้น 401 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายขายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย บริษัทมีกำไรก่อนรายได้อื่น 225 ล้านบาท รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 67 ล้านบาท รายได้อื่น 20 ล้านบาท และหักภาษีเงินได้นิติบุคคล
16 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไรในบริษัทร่วม 296 ล้านบาท เมื่อรวมส่วนแบ่งผลกำไรในบริษัทร่วมจำนวน 63 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 359 ล้านบาท
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--