นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไพลอน(PYLON)กล่าวว่า ไตรมาส 2/51 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ตามปริมาณงานที่ลงสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) จนถึงสิ้นไตรมาส 3/51 แล้ว มูลค่ารวมกว่า 360 ล้านบาท จึงน่าจะสะท้อนให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก
สำหรับผลประกอบกาไตรมาสที่ 1/51 บริษัทฯ มีรายได้ 154.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 10.06 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้น 57.05% จากไตรมาส 1/50 ที่มีรายได้ 98.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 51.35% จากกำไรสุทธิ 6.6 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้เป็นผลมาจากมีปริมาณงานลงสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ทั้งงานภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะงานประเภทคอนโดมิเนียม ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
"หลังจากที่เริ่มมีความชัดเจนทางด้านการเมือง งานบางส่วนที่ชะลอไว้ในปีที่แล้ว ก็เริ่มไหลลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงานภาคเอกชน ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปีบริษัทมีงานรับเหมาในมือเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ในช่วงดังกล่าวเราได้เดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้รับมือกับการแข่งขันที่ยังมีอยู่ในตลาดได้อย่างคล่องตัว รวมถึงควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง จึงสะท้อนให้รายได้และกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างโดดเด่นดังกล่าว" นายบดินทร์ กล่าว
ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 51 เชื่อว่างานภาครัฐจะทยอยไหลลงสู่ตลาดชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าสายต่างๆ เมื่อรัฐบาลสามารถคัดเลือกผู้รับเหมางานรถไฟฟ้าได้สำเร็จ ขณะที่ภาคเอกชนคาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมออกมามากขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก ทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านจะหันมาเลือกคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังน่าจะยังดีต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามก็คือเสถียรภาพทางการเมืองและราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำมัน และเหล็กเส้น ที่ค่อนข้างผันผวนในช่วงนี้ โดยในส่วนของ PYLON ได้เดินหน้าปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะเน้นการหางานฐานรากเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นงานต้นน้ำ ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ เป็นงานระยะสั้นๆ 2-3 เดือน ทำให้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบไม่มากนัก
ผลประกอบการของ PYLON ในปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% มาอยู่ที่ 500-550 ล้านบาท ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดคาดว่าจะผลักดันให้เพิ่มขึ้นจาก 15% มาอยู่ที่ระดับ 20-25% ได้สำเร็จ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 50 ถึงแม้ต้นทุนจะปรับสูงขึ้น จากความสามารถในการหางานที่ปรับตัวดีขึ้น สังเกตได้จาก Backlog ที่สูงขึ้นจากปีก่อน และการแข่งขันที่เริ่มจะลดลง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะทำให้ผลกำไรในปีนี้สูงกว่าที่ประมาณการไว้ด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--