บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เดินหน้าจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งภายใต้ชื่อ บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) โดยยื่นขออนุญาตเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างฯ และการจดทะเบียนให้หุ้น STECON เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แทนหุ้น STEC ซึ่ง ตลท.ให้ความเห็นชอบเบื้องต้นแล้วตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.67
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ STEC เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้ STECON เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่พร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้น STEC แล้ว และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 69/247-1) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 ส.ค.6 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทโฮลดิ้งจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ STEC จากผู้ถือหุ้นเดิม โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้งในอัตราการแลกหุ้น (Share Swap Ratio) ที่หุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้ง 1 หุ้น ต่อหุ้นสามัญของ STEC 1 หุ้น โดยระยะเวลาการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.-21 ต.ค.67 เป็นระยะเวลา 45 วันทำการ หลังจากนั้น STEC จะเพิกถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทโฮลดิ้งจะเข้าจดทะเบียนแทนในวันเดียวกัน และเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ (Ticker) เป็น STECON คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.67
นายภาคภูมิ กล่าวอีกว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและเติบโตอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่น ๆ เพิ่ม อาทิ ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงและต่อยอดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจเดิม คือ รับเหมาก่อสร้าง ผ่านการร่วมลงทุนกับพันธมิตร เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการร่วมมือ (Synergy) และสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว (Recurring income)
อีกทั้ง ยังสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและพันธมิตรทางธุรกิจให้ร่วมลงทุนเฉพาะธุรกิจที่สนใจและมีความชำนาญ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ตลอดจนสามารถแบ่งแยกและจำกัดความเสี่ยงแต่ละธุรกิจได้ดีกว่าโครงสร้างกิจการในปัจจุบัน เนื่องจากธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะลงทุนในอนาคต อาจมีลักษณะและปัจจัยความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จึงสามารถจำกัดความเสี่ยงการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่ส่งผลต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักในปัจจุบัน เพื่อสร้างการเติบโต และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ภายหลังจากการปรับโครงสร้างการถือหุ้น สามารถแบ่งประเภทการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจหลัก และ (2) กลุ่มธุรกิจอื่น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ โดยกลุ่มธุรกิจหลักแบ่งออกเป็น (1) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (2) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน และ (3) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่นประกอบด้วยธุรกิจที่มีความสามารถในการเติบโตสูง
การดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง มีเป้าหมายลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ และรองรับแผนการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Recurring Income และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ในธุรกิจใหม่ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น และมีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัท เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
"การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความคล่องตัวในการบริหารและการลงทุน รวมถึงการเติบโตในระยะยาว โดยเรามองเห็นโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ผู้ถือหุ้น จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันและกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (Capital Gain) โดยบริษัทโฮลดิ้ง จะเป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ผู้ถือหุ้นที่ตอบรับคำเสนอซื้อสามารถซื้อขายหุ้น มีสภาพคล่องในการซื้อขาย และมีราคาอ้างอิงตามราคาตลาด" นายภาคภูมิ กล่าว