นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานของบริษัทพลิกกลับมาเป็นกำไร โดยงวดครึ่งแรกปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 16.49 ล้านบาท พลิกจากงวดครึ่งแรกปี 66 ที่มีผลขาดทุน 262.37 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้รวมและกำไรเงินลงทุนปรับตัวดีขึ้น ขณะที่งวดไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 0.63 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 239.18 ล้านบาท
งวดครึ่งแรกปี 67 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 294.89 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 69.07% เทียบกับงวดเดียวกันปี 66 ที่มีรายได้รวมจำนวน 174.42 ล้านบาท ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการในงวดครึ่งปีแรก 67 เพิ่มขึ้นเป็น 41.48 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 37.99% จากงวดครึ่งปีแรก 66 บริษัทมีรายได้จาก 30.06 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญที่เสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และดีลที่ปรึกษาในการรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และ บริษัทมีกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 25.86 ล้านบาท ขณะที่ในงวดเดียวกันของปี 66 บริษัทมีผลขาดทุน และผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 116.65 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดที่รุนแรงในปีก่อน โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากสิ้นเดือน ธ.ค.65 ที่ 1,668.66 จุด เป็น 1,503.10 จุด ณ สิ้นเดือน มิ.ย.66
นายวิศิษฐ์ กล่าวเสริมว่าในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์นั้นยังคงได้รับผลกระทบจากสภาพตลาดและปริมาณการซื้อขายที่หดตัวโดยครึ่งแรกปี 67 มีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ 175.19 ล้านบาท ลดลง 13.38% จากงวดครึ่งแรกปี 66 ที่มีรายได้ 202.25 ล้านบาท
"รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ ประกอบด้วยรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ลดลงจาก 70.58 ล้านบาทในงวดครึ่งแรกปี 66 เป็น 51.06 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 67 หรือลดลง 27.66% เป็นผลจากการลดลงของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงจาก 58,658 ล้านบาทต่อวันในงวดหกเดือนแรกปี 66 เป็น 45,201 ล้านบาทต่อวันในงวดเดียวกันปี 67 หรือลดลง 22.94% ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น"
นอกจากนี้ รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจาก 94.62 ล้านบาทในงวดครึ่งแรกปี 66 เป็น 74.39 ล้านบาทในงวดเดียวกันปี 67 เป็นผลจากมูลค่าเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่ปรับลดลงระหว่างงวดจากความระมัดระวังในการให้สินเชื่อของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเงินกองทุน (NCR) นั้นยังคงมีความแข็งแกร่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย.67 บริษัทและบริษัทย่อยมีอัตราเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิที่ 77.73% สูงกว่าเกณฑ์ที่ก.ล.ต. กำหนด