นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ (NAT) เปิดเผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 67 บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้ารับงานใหม่จำนวน 28 โครงการ มูลค่ารวม 500 ล้านบาท และ มั่นใจว่าสามารถสร้างการเติบโต ของรายได้ให้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 30% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,558.20 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อนที่มีกำไร 109.20 ล้านบาท
บริษัทสร้างการเติบโตจากการเข้ารับงานพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและบริการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตสูง จากความต้องการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้ใช้บริการ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าภาครัฐและเอกชนในส่วนรายได้จากการขายและให้บริการ จำนวน 67.55% และ 32.45% ตามลำดับ
อีกทั้ง บริษัทมีงานโครงการและบริการที่ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่รอดำเนินการและส่งมอบพร้อมรับรู้รายได้ (Backlog) ทั้งสิ้น 53 โครงการ มูลค่ารวม 684.64 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย.67) โดยมีสัดส่วนรายได้เมื่อแบ่งตามลักษณะการประกอบธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจการจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 96.18% อาทิ งานระบบเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน (Network Infrastructure Solution), งานระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Solution) และ งานระบบศูนย์ข้อมูล (Data Center Solution) และ ธุรกิจให้บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 3.82% เช่น การให้บริการเจ้าหน้าที่ไอที (IT Outsourcing), การให้บริการเดินสายระบบเน็ตเวิร์ค (Cabling System) เป็นต้น คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 641.86 ล้านบาท และอีก 42.78 ล้านบาท จะรับรู้ในปี 68
ขณะที่ บริษัทมีแผนสร้างการเติบโตผ่านการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมจากกลุ่มเดิมไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มความต้องการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่จะสร้างรายได้ และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัท เช่น กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ และ กลุ่มธุรกิจพลังงาน
บริษัทยังอยู่ในช่วงดำเนินการเพิ่มบุคลากรมีความเชี่ยวชาญ อาทิ วิศวกร และ บุคลากรในตำแหน่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความหลากหลาย โดยเน้นรูปแบบบริการที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต เช่น AI & Generative AI, Data Analytic และ Cybersecurity เป็นต้น
"ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 67 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับตลาดธุรกิจการให้บริการดิจิทัล ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ และธุรกิจซอฟต์แวร์ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างหันมาแข่งขันกันในด้านการประมวลผลข้อมูล Big data และ การขับเคลื่อนแผนธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยี AI ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และ การท่องเที่ยว ที่กระตุ้นการทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
การขยายตัวของธุรกิจดังกล่าวจะทำให้ปริมาณข้อมูลดิจิทัลเพิ่มขึ้นตามด้วย จากการคาดการณ์ของศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ถึงปริมาณข้อมูลดิจิทัลของไทยในปี 2573 จะเพิ่มขึ้น 3.7 เท่า จากปี 65 ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบบริการด้าน Data Center และ Cybersecurity รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยจุดแข็งในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีโดยตรง และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ซึ่งจากแผนการดำเนินงานรวมถึงโอกาสการเติบโต เชื่อว่าจะสามารถผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เป็นไปตามที่วางไว้" นายสุธี กล่าว
บริษัทยังมองโอกาสแตกไลน์ธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา หารือกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจสู่เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เนื่องจากมองเทรนด์ของ Data Center และ AI มีแนวโน้มเติบโตสูง สะท้อนความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงมองว่าอาจมีความต้องการนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเข้ามาช่วยลดค่าไฟฟ้า คาดว่าจะเห็นความชัดเจนหรือข้อสรุปได้ในไตรมาส 1/68