นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดปรับขึ้นต่อตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ตอบรับนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังเงินเฟ้อลดลง ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเห็นภาพของการลดดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่าเฟดมีโอกาสหั่นดอกเบี้ยลง 1% ในปีนี้
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ย่อตัวลงมาที่ 3.78% อีกทั้งค่าเงินบาทก็ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
ส่วนราคาน้ำมันดิบดีดขึ้นจากการเก็งกำไรสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจจะลุกลามเป็นวงกว้าง หลังจากอิสราเอลส่งเครื่องบินรบโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในพื้นที่ตอนใต้ของเลบานอน
ให้แนวรับไว้ที่ 1,350 จุด และแนวต้าน 1,375 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (23 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,175.08 จุด เพิ่มขึ้น 462.30 จุด หรือ +1.14%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,634.61 จุด เพิ่มขึ้น 63.97 จุด หรือ +1.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,877.79 จุด เพิ่มขึ้น 258.44 จุด หรือ +1.47%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 38,156.41 จุด ลดลง 207.86 จุด หรือ -0.54%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 17,709.27 จุด เพิ่มขึ้น 97.17 จุด หรือ +0.55% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ 2,855.47 จุด เพิ่มขึ้น 1.1 จุด หรือ +0.03%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ส.ค.) 1,354.87 จุด เพิ่มขึ้น 13.84 จุด (+1.03%) มูลค่าซื้อขาย 62,577.47 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,868.75 ล้านบาท (23 ส.ค.)
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.(23 ส.ค.)เพิ่มขึ้น 1.82 ดอลลาร์ หรือ 2.49% ปิดที่ 74.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ส.ค.) อยู่ที่ 3.21 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.93 แข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือน หลังเฟดส่งสัญญาณชัดลดดอกเบี้ย
- "ผู้ว่าแบงก์ชาติ" ย้ำพร้อมปรับ "ดอกเบี้ย" หากผลกระทบต่อเสถียรภาพการเงิน มีผลกระทบแรงกว่าคาด ชี้เหตุแบงก์ปล่อยกู้ลดลง เผยมองความเสี่ยงลูกหนี้พุ่ง ชี้ข้อเสนอปรับลดเงินนำส่ง "FIDF-แฮร์คัตหนี้" ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป
- "นายกฯอิ๊งค์" ถก 3 สภาธุรกิจ ก่อนแถลงนโยบาย 16 ก.ย.นี้ เผยโผ ครม.ล่าสุด "ทักษิณ" โชว์วิสัยทัศน์ ตั้งแต่เศรษฐกิจฐานราก แฮร์คัตหนี้ภาคประชาชน ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ชูนโยบายใหม่เป็นรูปธรรม ทั้งวงการรถอีวี-รถไฟฟ้าค่าโดยสาร 20 บาท ลงทุนกาสิโน-กองทุนพยุงหุ้น เก็บภาษีแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ กวาดเงินใต้ดินขึ้นบนดิน หนุนอุตสาหกรรมดาวรุ่ง Data Center-พลังงานสะอาด
- คลังชงรัฐบาล "แพทองธาร" ปรับเงื่อนไข "แจกเงินดิจิทัล" โอนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบุหากเบิกจ่ายเงินไม่ทันปีงบ 67 สามารถกันไว้เบิกปีงบประมาณถัดไปได้ แต่ต้องดำเนินการภายใน 30 ก.ย.นี้ ล่าสุดตุนงบแล้ว 3.52 แสนล้านบาท
- บีโอไอมั่นใจ ขอรับส่งเสริมลงทุนไทยปี 67 พุ่งไม่ต่ำ 8 แสนล้าน สูงสุดรอบ 10 ปี หลัง FDI ยังไหลเข้าต่อเนื่อง เตรียมหารือรัฐบาลใหม่ 3 เรื่องใหญ่ ดัน 7 อุตฯ ผงาดโลก บิ๊กเอกชน จี้ติดตามผลงาน "เศรษฐา" ดึงลงทุน 5.5 แสนล้านเป็นจริง ชี้โจทย์ใหญ่ GDP ไทยขยายตัวต่ำไม่ดึงดูดลงทุน ต้องเร่งโต 3-5% ต่อปี
- การลงทุนเอกชนชะลอตัวแรง ไตรมาส 2 สศช.เผยครึ่งปีติดลบ 0.8% สอดคล้องตั้งบริษัทครึ่งปีติดลบ 69% ธปท.ชี้ ลงทุนอาจไม่หายไปไหน เป็นเพราะยอดขาย กระบะลด ส.อ.ท.ระบุการเมืองไม่นิ่ง ส่งผลรอตัดสินใจลงทุน "นักเศรษฐศาสตร์" ห่วงนำเข้าสินค้าทุนชะลอตัวฉุดการลงทุน "กรุงศรี" ชี้สัญญาณรายใหญ่ชะลอกู้เงินลงทุน "บีโอไอ" มั่นใจการลงทุนไทยยังเติบโต ภูมิรัฐศาสตร์หนุนย้ายฐานมาไทย
*หุ้นเด่นวันนี้
- TASCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "เก็งกำไร" ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA consensus 18.57 บาท ระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสได้แรงหนุนจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือเริ่มรุนแรงขึ้น หากลุกลามและขยายมายังจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลางตอนบน จะเป็น Sentiment การซ่อมแซมถนนหลังน้ำลดหนุนความต้องการยางมะตอย ขณะที่ภาพรวมแนวโน้มกำไร H2/67 คาดเร่งตัวขึ้นจาก H1/67 จากการเบิกจ่ายงบฯ 67 เร่งตัวในไตรมาส 3/67 ขณะที่งบฯปี 68 คาดไม่ล่าช้าอย่างมีนัยเหมือนปีก่อน
- MTC (กสิกรไทย)ราคาพื้นฐานที่ 52.0 บาท แนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับ Asset quality ที่สามารถควบคุมได้แล้ว ทั้ง stage 3ลงมาที่ 2.9% และ NPL formation ที่ลดลงจากจุด peak ใน 3q23ที่ผ่านมามองเป็นเทรนด์ขาลงของ หนี้เสียพร้อมกันนี้เรามองโอกาสที่กำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2568 ได้อย่างชัดเจน ใกล้เคียงกับ loan growth
- CPALL (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 75.50 บาท มี Sentiment บวกคาดหวังมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 6,239 ลบ.(+40.58%YoY,-1.26%QoQ) หนุนด้วยรายได้ 7-11 ที่ยอดขาย +10%YoY, +6%QoQ ปัจจัยบวกต่อกำไรยังมาจาก Finance Cost ลดลง YoY 2.เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง เช่น RTE และเครื่องดื่ม 3.สัดส่วน 7-11 สูงขึ้นเมื่อเทียบ Makro-Lotus บวกต่อ GPM ด้านไตรมาส 3 แม้คาดอ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่จะกลับมาดีต่อในไตรมาส 4 ประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และ 68 ที่ 23,828 ลบ.( +29%YoY) และ 26,224 ลบ.( +10%YoY)