ผ่านไปกว่าครึ่งปี ความเสี่ยงไม่ได้ลดน้อยลงเลยกลับเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นใหญ่สุดของโลก หากปรับลงย่อมสะเทือนถึงตลาดหุ้นอื่นแน่นอน แล้วจะมีปัจจัยอะไรที่ต้องติดตาม และนักลงทุนจะต้องปรับพอร์ตอย่างไร
"Wealth Me Please" EP.นี้ พามาพูดคุยกับนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO Finnomena Funds ซึ่งระบุว่า ตลาดสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังยังมีประเด็นที่ติดตามต่อเนื่อง คือ ทิศทางลดดอกเบี้ย ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณชัดเจนจะลดดอกเบี้ยลง ตลาดคาดจะเห็นในเดือนก.ย. และคาดว่าปีนี้จะลดดอกเบี้ยลงรวม 1% จาก 5.25% มาที่ 4.25% หากในครั้งใดเฟดลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% อาจเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดเข้าใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานลงแรง
นอกจากนั้น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐยังเป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตาว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ เพราะตัวเลขที่เคยคาดการณ์ไว้สูงกว่าตัวเลขจริงที่รายงานออกมา
"ในมุมมอง Finnomena ตลาดหุ้นสหรัฐเดือน ก.ย. เดือน ต.ค.ตลาดน่าจะยังวิ่งได้ต่อ แต่พอเข้าสู่เดือน พ.ย. ตัวเลขตลาดแรงงานจะเป็นตัวเลขสำคัญที่จะชี้ว่าตลาดจะเห็น Recession อยู่ข้างหน้ารึเปล่า"นายชยนนท์ กล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐต้นเดือน พ.ย. นางคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ท้าชิงกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน แม้คะแนนตอนนี้ยังสูสีกัน แต่จากนโยบายหาเสียงที่เข้มข้นหากเดโมแครตชนะก็มีโอกาสสูงที่จะเห็นตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน เพราะมีนโยบายที่จะเก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทในวอลล์สตรีทเพิ่มขึ้น
จากปัจจัยเรื่อง ดอกเบี้ย เศรษฐกิจถดถอย และ การเมืองสหรัฐ เป็นความเสี่ยงอยู่ข้างหน้า ดังนั้น นักลงทุนอย่าเพิ่งชะล่าใจว่าหุ้นสหรัฐจะรีบาวด์ไปตลอด CEO Finnomena Funds จึงแนะนำให้ปรับพอร์ตตลาดหุ้นสหรัฐลงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง หากถือไว้ 50-60% อาจลดลงเหลือ 25-30% แต่ไม่ควรปรับออกทั้งหมด เพราะยังถือเป็น Core Port เพราะถ้า underweight หุ้นสหรัฐก็ยากที่จะชนะหุ้นโลกได้ แล้วค่อย ๆ หาจังหวะเข้าทยอยเก็บสะสมเพื่อปรับสัดส่วนเพิ่มขึ้นได้ในเดือน ธ.ค.หรือต้นปีหน้า
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตตามตลาดหุ้นโลก นายชยนนท์ ระบุว่าสัดส่วนหุ้นสหรัฐวางไว้ 50% ตลาดหุ้นยุโรป 20% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 10% ส่วนตลาด Emerging แนะนำ ตลาดหุ้นไทย 10% และตลาดหุ้นเวียดนาม 10%
https://youtu.be/xLZxa20j7d4