นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.โรแยล พลัส (PLUS) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 67 คาดว่ามีการเติบโตต่อเนื่องรับช่วงไฮซีซั่นที่เป็นช่วงฤดูร้อนของภูมิภาคยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมียอดคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง รวมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในร้าน Walmart จาก 3,000 สาขา เพิ่มขึ้นแล้วในปัจจุบันเป็น 3,700 สาขา และเชื่อว่าจะสามารถขยายครอบคลุม 4,000 กว่าสาขาได้ในปีนี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ไลน์การผลิตขวด PET มีดีมานด์สูง ซึ่งจะเห็นยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/2567 โดยบริษัทยังคงเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออฟไลน์ เช่น Convenience Store (CVS), Modern Trade (MT), Traditional Trade (TT) และช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Marketplace ชั้นนำ รวมทั้งเปิดโอกาสในการนำเสนอบริการแบบ ODM ด้วยความพร้อมของกำลังการผลิตที่มากเพียงพอ ส่งผลให้กำลังการผลิตมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากการขยายไลน์การผลิตใหม่นี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารุกตลาดและหาพันธมิตรลูกค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงการพูดคุยลูกค้ารายใหญ่ เชื่อว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2567 นี้ ในการทำสัญญาซื้อขายกับลูกค้ารายใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 1 ราย ซึ่งลูกค้ารายดังกล่าวจะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายในปี 2568 ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
"ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่ายอดขายและกำไรจะกลับมาเติบโตได้ปกติ จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของภูมิภาคยุโรปและสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มสูงขึ้น ประกอบกับการเริ่มรับรู้ผลของการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในร้าน Walmart ขณะที่ตลาดในประเทศจีนมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีโดยเฉพาะตลาดออนไลน์ตามเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทได้มุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โดยใช้วิธีไลฟ์สด รีวิวสินค้า ผ่านแพลตฟอร์ตออนไลน์ชั้นนำในจีน สร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายพลแสง กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจภาพรวมผลการดำเนินงานปี 67 จะสามารถผลักดันรายได้รวมให้เติบโตนิวไฮ สอดคล้องกับการขยายตัวของยอดขายทั้งผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งการใช้กลยุทธ์ในการตลาดและการขาย ด้วยการเน้นแบรนด์ของตัวเอง (Own Brand) ของ PLUS มากขึ้น
ล่าสุดประกาศผลประกอบการของบริษัทในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขาย 783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 46 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ กำไรปกติจะอยู่ที่ 62 ล้านบาท