นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจริญอุตสาหกรรม (CH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสร้างการเติบโตทำ All Time high อย่างต่อเนื่อง โดยจะผลักดันรายได้ให้เติบโตแตะ 2,300 ล้านบาทในปี 68 จากการมี Potential Customers หลายรายสำหรับ New SKU เพื่อเพิ่มยอดขาย และขยายฐานลูกค้า หลังจากปีนี้ประเมินรายได้จะเติบโตทะลุ 2,000 ล้านบาท ดีกว่าเป้าหมายเบื้องต้นที่วางไว้ราว 1,900 ล้านบาท
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้กวาดรายได้แล้ว 1,163.38 ล้านบาท และขณะนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อครอบคลุมเป้าหมายแรกที่ 1,900 ล้านบาทจากกลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงมีสต็อกสินค้าครบถ้วนตามปริมาณคำสั่งซื้อที่ได้รับแล้ว ขณะที่ในครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งทีมขายเร่งเจรจาเปิดตลาดใหม่โซนยุโรปและเอเชีย พร้อมทั้งอัพเกรดคุณภาพมาตรฐานสินค้า โดยอยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขอเครื่องหมายรับรองคุณภาพในประเทศจีน เพื่อช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างความเชื่อมั่นฐานลูกค้าเดิม และเปิดโอกาสขยายลูกค้าใหม่ได้กว้างขึ้น
บริษัทยังสามารถรักษาความได้เปรียบในด้านคุณภาพสินค้าและต้นทุนของโรงงานทั้งในไทยและกัมพูชา , เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ วัตถุดิบ เน้นการลงสำรวจพื้นที่เพาะปลูกผลไม้มากขึ้น และหาทางกำหนดราคาที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย, Lean การใช้กำลังคน ลดผลกระทบค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มเครื่องจักรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแทน, เพิ่มการบริหารจัดการต้นทุน ต่อหน่วยให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และส่งเสริม R&D จะสร้างสินค้าใหม่ๆ และเพิ่มมูลค่าของสินค้า
CH ยังเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ได้แก่ Shopee, FACEBOOK, TikTok Shop, LINE Shopping และขยายจุดจำหน่ายโมเดิร์นเทรดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการขาย รวมถึงเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระดับสากลทั่วโลกเพื่อเพิ่มโอกาสการพบปะกับตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าสินค้าในกลุ่มประเทศเป้าหมายรายใหม่ๆ ผลักดันการเติบโตของรายได้ให้ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
ในปี 67 บริษัทวางงบราว 55 ล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1.ใช้ลงทุนก่อสร้างคลังห้องเย็นขนาด 1,000 ตัน ที่โรงงานท่าทราย จำนวน 23 ล้านบาท, 2. ใช้ลงทุนก่อสร้างคลังห้องเย็นขนาด 1,000 ตัน ที่โรงงานกัมพูชา จำนวน 23 ล้านบาท และ 3.โรงงานช็อคโกแล็ตที่โรงงานท่าทราย จำนวน 9 ล้านบาท โดยคลังห้องเย็นที่ 2 แห่ง คาดว่าจะสร้างเสร็จในเดือนก.พ.68 จะทำให้บริษัทสามารถเก็บสต็อกวัตถุดิบได้นานขึ้น ส่วนโรงงานช็อคโกแล็ต คาดว่าจะเสร็จในปีช่วงปลายปีนี้
นายศักดา กล่าวถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในขณะนี้ว่า บริษัทยอมรับว่ามีผลกระทบต่อกำไรบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากปริมาณคำสั่งซื้อที่ได้รับมาได้ส่งมอบสินค้าไปแล้วกว่า 60% ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาที่ค่าเงินบาทเฉลี่ย 36.10 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นในช่วงนี้ที่เงินบาทราว 33-34 บาท/ดอลลาร์อาจทำให้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง เนื่องด้วยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการทำป้องกันความเสี่ยงไว้แล้ว
ส่วนโรงงานผลไม้อบแห้งที่กัมพูชา มีการใช้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลดอลลาร์ทั้งหมด การที่เงินบาทจะแข็งค่าหรืออ่อนค่า จะไม่มีผลกระทบต่อต้นทุน อีกทั้งบริษัทฯ เตรียมลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงานคนี่จะเข้ามาช่วงไตรมาส 4/67 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้