นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่ามีโอกาสแกว่งตัวลงมา หลังจากปรับเพิ่มขึ้นไปเมื่อวานนี้ โดยปัจจัยกดดันในวันนี้มาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง จะเป็นปัจจัยที่กดดันต่อกลุ่มหุ้นพลังงานที่มีน้ำหนักต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ค่อนข้างมาก
ขณะที่ตลาดยังรอติดตามการรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.ของสหรัฐ และการดีเบตของตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐในคืนวันศุกร์ที่จะถึงนี้
ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค.ของไทยในวันพรุ่งนี้ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทย ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเปิดมาเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้
โดยให้แนวต้าน 1,370 จุด แนวรับ 1,355 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (3 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,936.93 จุด ลดลง 626.15 จุด หรือ -1.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,528.93 จุด ลดลง 119.47 จุด หรือ -2.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,136.30 จุด ลดลง 577.33 จุด หรือ -3.26%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 38,039.91 จุด ลดลง 646.40 จุด หรือ -1.67%, ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 2,786.50 จุด ลดลง 16.48 จุด หรือ -0.59% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 17,474.74 จุด ลดลง 176.75 จุด หรือ -1%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 ก.ย.) 1,364.60 จุด เพิ่มขึ้น 10.96 จุด (+0.81%) มูลค่าซื้อขาย 42,263.88 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 661.13 ล้านบาท (3 ก.ย.)
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. (3 ก.ย.)ร่วงลง 3.21 ดอลลาร์ หรือ 4.36% ปิดที่ 70.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 ก.ย.) อยู่ที่ 2.22 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.27 อ่อนค่าเล็กน้อยตามการแข็งค่าของดอลลาร์ จับตาตัวเลขศก.สหรัฐคืนนี้
- "แพทองธาร" โชว์ "ทีมที่ดีมาก ๆ" เตรียมทูลเกล้าฯ โผรายชื่อ ครม.ใหม่ หลังตรวจคุณสมบัติเข้ม 15 วัน จาก สลค. สำนักงานกฤษฎีกาคณะใหญ่ "มีชัย" ตอบคำถามรัฐบาล 10 ประเด็น ก่อนส่งคืนเลขาธิการนายกฯ คาดทูลเกล้าฯ ได้ 4 ก.ย. เดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ แถลงนโยบายกลาง ก.ย.นี้ เผยโผทีมรัฐมนตรีล่าสุด "2 พิชัย" คุมทีมเศรษฐกิจคลัง-พาณิชย์
- ภาคเอกชนขานรับครม.ใหม่ จี้รัฐบาลเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น แก้ปัญหาเศรษฐกิจสานต่อนโยบายเดิม ชงวาระด่วนฟื้นฟูน้ำท่วมหนัก แก้สินค้าจีนทะลัก หนี้ครัวเรือนพุ่ง หนุนถกพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา สร้างความมั่นคงพลังงาน ขณะที่ภาคท่องเที่ยว จี้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดึงการลงทุน-นักท่องเที่ยว
- คลังเร่งเครื่องออก พ.ร.ก.เก็บภาษีบริษัทใหญ่ข้ามชาติที่ได้ บีโอไอ 15% ตามแนว OECD เพื่อลดแข่งดึงดูดการลงทุน ชี้ต้องเร่งดีเดย์ปี'68 หวั่นไทยเสียประโยชน์ เหตุ "ญี่ปุ่น-เวียดนาม" ล่วงหน้าระบบภาษีใหม่ปีนี้แล้ว ส่วน "สิงคโปร์-มาเลเซีย" เดินหน้าปีหน้า "พิชัย ชุณหวิชร" บินถก OECD ก.ย.นี้ คาดเม็ดเงินภาษีเข้าประเทศเพิ่มปีละกว่าหมื่นล้าน พร้อมแบ่งเข้ากองทุนเพิ่มขีดแข่งขันฯ-BOI เตรียม 2 มาตรการจูงใจชดเชยเก็บภาษี สรรพากรเปิดฟังความเห็นยักษ์ข้ามชาติของไทย "SCG-ไทยเบฟ-ซี.พี.-ปตท."
- ธุรกิจเช่าซื้อขานรับ ธปท.แก้เกณฑ์รวมรายได้ "กู้ร่วม" ภายในสิ้นปี'67 นี้ อนุโลมให้คนในครอบครัว-เครือญาติ คาดช่วยผู้ซื้อรถกู้ผ่านมากขึ้น ขณะที่แบงก์เร่งพัฒนาระบบรองรับปรับเงื่อนไขจาก "ผู้ค้ำประกัน" เป็น "ผู้กู้ร่วม" คาดใช้เวลา 6-9 เดือน
- ครม.หารือสินค้าจีนทะลัก เตรียมชงรัฐบาลใหม่ตั้งศูนย์เฉพาะกิจสกัดสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำผิดกฎหมาย อนุมัติ 5 มาตรการ 63 แผนงาน เข้มตรวจสินค้านำเข้า คุมแพลตฟอร์มต่างชาติจดทะเบียนในไทย พร้อมเข้าระบบแวต เล็งแก้กฎหมายให้รัฐเปิดไต่สวนทุ่มตลาดได้เลย "หอการค้า" แนะตั้งรองนายกฯ เศรษฐกิจ หารือจีน แก้ปัญหา เสนอเพิ่มมาตรการเชิงรุก
- สนค.ได้ติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศกลุ่มอาเซียน โดยพบว่าเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปี 67 (ม.ค.-มิ.ย.) ของไทยเทียบกับ 9 ชาติในอาเซียน ไทยมีเงินเฟ้อต่ำเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาครองจากบรูไนที่ติดลบ 0.26% ซึ่งไทยมีอัตราเงินเฟ้อเท่ากับศูนย์ หรือไม่เปลี่ยนแปลง รองลงมา 3.กัมพูชา เงินเฟ้อเพิ่ม 0.26% 4.มาเลเซีย เพิ่ม 1.81% อินโดนีเซีย เพิ่ม 2.79% สิงคโปร์ เพิ่ม 2.87% ฟิลิปปินส์ เพิ่ม 3.55% เวียดนาม เพิ่ม 4.08% และลาว เพิ่ม 25.29%
- ททท.เร่งทำตลาดเพิ่มทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ กระจายไปเมืองต่างๆ เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในปัจจุบันยังต้องการออกเดินทาง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องปรับพฤติกรรม นิยมเดินทางถี่ขึ้น จะเห็นได้ว่าตลาดที่เดินทางเข้าไทยส่วนใหญ่เป็นตลาดระยะใกล้ แต่ด้วยเศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน นักท่องเที่ยวต่างชาติรัดเข็มขัด ททท.ไม่สามารถบังคับพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายสูงได้
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEM (กสิกรไทย) "ซื้อ" เป้าใหม่ 11.17 บาท จากผลประกอบการที่ผ่านมา BEM มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยปริมาณการจราจรและจำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวแข็งแกร่ง กลับมาอยู่ที่ประมาณ 93-97% ของระดับก่อน
เกิดโควิด-19 ล่าสุดมีปัจจัยใหม่ที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได แก่ การเปิดโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่อย่าง วัน แบงค็อก และดุสิต เซ็นทรัล พาร์คที่เชื่อมต่อกับเส้นทางของ BEM ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณผูใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการอนุมัติด้านกฎระเบียบและข้อบังคับจากรัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มจะเป็นปัจจัยบวกต่อมูลค่าหุ้น โดยเฉพาะในประเด็นอัตราค่าโดยสารและสัญญาสัมปทาน อาจมีการพจิรณาลดค่า โดยสาร ขยายเส้นทางรถไฟฟ้าและปรับปรุงระบบรถรับส่งเชื่อมต่อเพื่อเพิ่มจำนวนผใช้บรืการ ทั้งนี้ ยังมี Upside Risk อีก 1.58 บาทต่อหุ้น ที่ยังไม่ได้รวมในการประมาณการราคาเป้าหมายปัจจุบัน หากโครงการทางพิเศษ 2 ชั้นซึ่งเป็นการสร้างทางด่วนใหม่ยกระดับเหนือทางด่วนศรีรัชเดิม ระยะทาง 17 กม. เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้รับการอนุมัติและดำเนินการ
- BDMS (อินโนเวสท์ เอกซ์) วันนี้แนะนำราคาเข้าซื้อไม่เกิน 27.50 บาท มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์และกำไรจะแข็งแกร่งขึ้นใน 2H67 โดยไตรมาส 3/67 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเติบโต QoQ จากเข้าสู่ High Season ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดมีกำไรปกติเติบโต 13%YoY สู่ 1.6 หมื่น ลบ. อีกทั้ง valuation ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PER 67F ระดับ 27 เท่า (-2SD)
- FM (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้า IAA Consensus 8.10 บาท บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 240 ล้านบาท +97%QoQ, +168%YoY เนื่องจากปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าลูกค้าเพิ่มขึ้นทั้งไก่ชำแหละและแปรรูปปรุงสุก (Cook added value : CAV) อีกทั้งได้รับปัจจัยบวกจากอุตสาหกรรมที่ราคาไก่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยสัดส่วนรายได้ธุรกิจไก่แปรรูปปรุงสุกที่สูงขึ้นเป็น 37% ส่งผลให้ GPM ปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้ม 2H67 เติบโตต่อเนื่อง เพราะมีออเดอร์ใหม่ในกลุ่มไก่แปรรูปปรุงสุกจากลูกค้าเดิม และการรับออเดอร์จากลูกค้ารายใหม่เกาหลีใต้ในไตรมาส 3/67 และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใน 4Q67 โดยบริษัทจะมุ่งเน้นในการขยายกำลังการผลิตในส่วนนี้ (ปัจจุบันมี 5 line) และมองสัดส่วนรายได้ธุรกิจ CAV แตะ 60% ภายใน 3 ปี ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 67-68 ที่ 532 ล้านบาท +110%YoY และ 657 ล้านบาท +23%YoY