บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บมจ. กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และสถานะทางการตลาดที่ดีขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนในปลายปี 2548 อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและการจัดการความเสี่ยงจากการขายซากรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพโดยเห็นได้จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่า
ในการให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความต่อเนื่องของรายได้จากอายุสัญญาเช่าที่ทำกับลูกค้าส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยประมาณ 3 ปี นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้บริการรถเช่าดำเนินงานจากการจัดจ้างจากภายนอกของธุรกิจต่างๆ ยังสนับสนุนโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการแข่งขันที่รุนแรงอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำกำไรและการขยายธุรกิจ
นอกจากนี้ การที่สินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถในการจัดการสินทรัพย์ให้เช่าจำนวนมากของบริษัทในช่วงการขยายธุรกิจ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" ของบริษัทอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดได้ต่อไปด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรโดยการควบคุมต้นทุนและการทำกำไรที่ต่อเนื่องจากการขายสินทรัพย์ให้เช่า
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส ก่อตั้งในปี 2535 โดยนายไพฑูรย์ จันทรเสรีกุล เพื่อดำเนินธุรกิจให้เช่าดำเนินงานสำหรับสินทรัพย์ประเภทรถยนต์ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปลายปี 2548 ปัจจุบัน ตระกูลจันทรเสรีกุลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 75.2% และทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลเป็นผู้บริหารงาน บริษัทให้บริการรถยนต์เช่าดำเนินงานทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น หากพิจารณาจากสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิ บริษัทเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่เป็นอันดับ 3 จากจำนวนผู้ให้บริการ 25 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง สินทรัพย์ให้เช่าของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบเป็น 2 เท่าจาก 1,283 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2,299 ล้านบาทในปี 2550 โดยในช่วงปี 2549-2550 รายได้จากการให้เช่ารถยนต์แบบระยะยาวคิดเป็นประมาณ 90% จากรายได้ค่าเช่ารวม โดยเพิ่มขึ้นจาก 85% ในปี 2547 และ 83% ในปี 2548 ณ สิ้นปี 2550 บริษัทมีรถยนต์ 4,657 คัน โดย 90% ให้บริการภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนที่เหลือสำหรับให้เช่าในระยะสั้นและใช้เป็นรถยนต์ทดแทน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส มีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ประมาณ 50% ของรถยนต์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ให้เช่ามีการจัดซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งตระกูลจันทรเสรีกุลเป็นเจ้าของ ส่งผลให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษจากผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งช่วยให้บริษัทจัดซื้อรถยนต์ให้เช่าในราคาที่ถูกกว่า และนอกจากศูนย์บริการทั่วประเทศมากกว่า 500 แห่งซึ่งบริษัทมีการทำสัญญาทางธุรกิจด้วยแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของศูนย์บริการของตนเองซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนจากการบำรุงรักษาที่ไม่จำเป็นอันอาจเกิดจากศูนย์บริการภายนอกด้วย บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าซึ่งหมดสัญญาเช่ากับลูกค้าแล้วผ่านทางบริษัทลูกคือ บริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ด้วยประสบการณ์ของผู้บริหารของบริษัทกรุงไทย ออโตโมบิล และการได้รับการรับรองคุณภาพรถยนต์ใช้แล้วภายใต้ “โครงการโตโยต้าชัวร์" ช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าที่หมดอายุสัญญาแล้วในราคาที่สูงกว่าการจำหน่ายผ่านตัวแทนรับประมูลทั่วๆ ไป บริษัทมีกำไรจากการขายรถยนต์ที่หมดสัญญาเช่าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2549 มีกำไร 121 ล้านบาท และในปี 2550 มีกำไร 149 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของรายได้รวมของบริษัททั้ง 2 ปี
แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จะลดลง แต่อัตราส่วนกำไรสุทธิของบริษัทที่ 18.1% ในปี 2550 ถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จากการที่บริษัทขยายขนาดสินทรัพย์ให้เช่าโดยการกู้ยืมเป็นหลักส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 60.5% ในปี 2548 เป็น 64.1% ในปี 2550 บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินในระดับปานกลาง โดยมีความไม่สอดคล้องกันระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินในระยะสั้นอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าลักษณะของสินทรัพย์ให้เช่าซึ่งมีสภาพคล่องสูงในการจำหน่ายจะช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้แก่บริษัทได้บางส่วน ทริสเรทติ้งกล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--