นายกวี ชูกิจเกษม HEAD OF RESEARCH AND CONTENT บล.พาย กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ "ปรับพอร์ทลงทุนอย่างไร ให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง" ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในระยะยาว เนื่องจากไทยมีภูมิศาสตร์ที่ดีมาก ถูกล้อมด้วยประชากรจำนวน 4 พันล้านคน หรือเทียบเท่ากับประชากรครึ่งโลก ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีการเติบโตทั้งสิ้น อย่าง อินเดีย จีน เป็นต้น
นอกจากนี้ไทยยังมีแสงอาทิตย์ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ดี ช่วยดึงดูดการลงทุนต่างชาติ ทั้ง ดาต้าเซนเตอร์ รวมถึงกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ทำให้คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นบวกต่อการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ในปีนี้มีมูลค่าแตะ 8 แสนล้านบาท จากครึ่งปีแรกมีมูลค่าการลงทุนโดยตรง 4 แสนล้านบาทแล้ว เห็นได้จาก Backlog ของ WHA, AMATA ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายกวี คาดหวังปี 68 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 61 และกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS) ก็จะกลับมาที่ระดับ 100 บาท/หุ้น ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,300-1,400 จุด บน P/E 14 เท่า ถือว่าไม่แพง หากเทียบกับประเทศอื่น โดยมองจากนี้ไปการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นเป็นแรงสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นตาม แม้ว่าในปีหน้าอาจจะยังมีความเสี่ยงจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงเข้ามากดดันบ้าง
แนะลงทุนในหุ้นที่เป็นอุตสาหกรรม S-Curve เดิม ที่สามารถย่อยอดไปสู่ New S-Curve ได้ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว โดยมองว่าภายในไม่เกิน 10 ปีจากนี้ หรือภายในปี 73 จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไทยจะมีมากถึง 70 ล้านคน, กลุ่มโรงพยาบาล อย่าง BDMS จากการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร หรือ Medical Hub รวมไปถึง S-Curve ใหม่ของไทย ในเรื่องของ Green Energy ได้แก่ แบตเตอรี่ เช่น BGRIM, GPSC, ดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น WHA, SIS, SYNEX, BBIK และ Logistics Hub เช่น กลุ่มสื่อสาร
"ยังไม่เชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แนะระวังที่ระดับ 1,500 จุด และปีหน้าอาจจะเห็น 1,200 จุด แต่จะเป็นโซนที่น่าสนใจมาก และอาจจะเป็นจุดกลับตัวที่จะขึ้นไปต่อถึงระดับ 1,500-1,800 จุด ได้เลยในอีก 5 ปีข้างหน้า และเชื่อว่า S-Curve ดังกล่าวจะเป็นกระดูกสันหลังของประเทศไทยอันใหม่ ที่จะทำให้เราเติบโตได้ในระยะยาว ขออย่างเดียวให้รัฐบาลอยู่กันนานๆ ก็พอ" นายกวี กล่าว
นายอาทิตย์ จันทร์สว่าง ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้านกลยุทธ์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า การออกเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่เข้มงวดขึ้น ไม่ได้กระทบต่อมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยมากนัก เห็นได้จากในช่วงสัปดาห์ก่อนมูลค่าการซื้อขายแตะ 1 แสนล้านบาทได้ แต่อาจทำให้นักลงทุนไม่สามารถใช้สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ หรือแทนที่ SET จะวิ่งขึ้นไปได้ไกลๆ แต่อาจจะไปได้แค่ 70%
อย่างไรก็ตาม มองว่ากฎระเบียบถือว่ามีความจำเป็น แต่อย่าเข้มงวดมากเกินไป หรือผ่อนคลายมากไปก็ไม่ดี ควรจะอยู่ตรงกลาง หรืออยู่ในระดับที่เหมาะสม น่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรายังมีความน่าสนใจ และคึกคักไปได้ต่อ
สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีแรงหนุนจากเม็ดเงินใหม่จาก กองทุนวายุภักษ์, ThaiESG, ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้า รวมถึงเม็ดเงินจากผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ที่จะปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยในอนาคต
แนะลงทุนในหุ้น กลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ TRUE จากจำนวนผู้ใช้มือถือและอินเตอร์เน็ตที่ขยับขึ้นมาใกล้เคียงกับคู่แข่ง รวมถึงในแง่ของรายได้ก็เท่ากัน ขณะที่ปี 68 ที่จะมีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ใหม่ มองการแข่งขันจะไม่รุนแรงเหมือนในอดีต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับ TRUE และ ADVANC ได้มหาศาล แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 13.80 บาท
ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นนี้ อาจเห็นแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง หลังตอบรับ Fund Flow ที่ไหลเข้ามาดักกองทุนวายุภักษ์ไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของกลุ่มพลังงานที่มีน้ำหนักค่อนข้างมากในตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะออกมาไม่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ SET Index ยังมีโอกาสไปต่อได้ในกรอบ 1,444-1,480 จุด จากแรงหนุนของเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มลงทุนในต้นเดือน ต.ค. และการปรับพอร์ตจาก Growth Stock มาเป็น Value Stock รวมถึงค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจาก 37 บาท/ดอลลาร์ มาที่ 33 บาท/ดอลลาร์ หนุนเงินไหลเข้า
ในปี 68 มองตลาดหุ้นไทย จะไปต่อได้แค่ไหน ยังต้องติดตามปัจจัยค่าเงินบาท เนื่องจากหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น กระทบต่อเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
แต่เบื้องต้นมอง 2 เรื่องที่คาดว่าจะหนุนตลาดหุ้นไทย คือ การ Unwind Position ของดอลลาร์/เยน โดยเชื่อว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยปีนี้ราว 3-4 ครั้ง และปีหน้าราว 4-5 ครั้ง ทำให้ส่วนต่างระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นที่เคยห่างกัน 500 bps จะลงมาเหลือ 300 bps ส่งผลให้เกิดการ Unwind ของตลาดหุ้นกับตลาดพันธบัตรของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เงินไหลออกไปยังตลาดพันธบัตรตลาดเกิดใหม่ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในระดับ 3% ส่วนตลาดหุ้นไทยจะได้ประโยชน์หรือไม่ ยังต้องดูว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
"ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะในไตรมาส 4/67 เชื่อว่า SET ยังมีแนวโน้มเชิงบวกจาก Flow ของเม็ดเงินใหม่กองทุนวายุภักษ์, ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังโตกว่าครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก ประมาณ 3.1% เมื่อเทียบกับ 1.9% และการปรับลดคาดการณ์ EPS ในช่วงที่เหลือของปีเริ่มจำกัดแล้ว ทำให้ยังมองดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,480 จุด ตามคาดการณ์เดิม"
แนะนำลงทุนในหุ้นที่ยัง Laggard ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ (finance) เช่น MTC , กลุ่ม F&B , ท่องเที่ยว และ Healthcare เช่น PR9 รวมถึงกลุ่ม gadget เช่น SYNEX
ขณะที่นายทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคม นักลงทุนประเทศไทย มองประเทศไทยยังมีจุดแข็ง จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเชื่อว่าในอนาคตไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลก และโอกาสจาก HealthTech จากการขยับขึ้นเป็น Top3