KUN ดีเดย์ย้ายเข้า SET วันแรกพรุ่งนี้ กาง Road Map 5 ปีปั๊มรายได้ปีละ 1,000 ลบ.จ่อผนึกพันธมิตรทำบ้านผู้สูงอายุ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 10, 2024 12:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

KUN ดีเดย์ย้ายเข้า SET วันแรกพรุ่งนี้ กาง Road Map 5 ปีปั๊มรายได้ปีละ 1,000 ลบ.จ่อผนึกพันธมิตรทำบ้านผู้สูงอายุ

บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) ย้ายเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันแรก 11 ก.ย.67 นี้หวังทะยานสู่การเติบโตแบบยั่งยืน เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมกางแผนธุรกิจครึ่งปีหลังเตรียมรับรู้รายได้แบรนด์นาวาร่า ขณะที่มียอดขายในมือ (Backlog) ในมือแน่นเล็งเป้ารายได้ปี 67 ทะลุ 800 ล้านบาท เดินเกมรุกวาง Road Map 5 ปีดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KUN กล่าวว่า หุ้น KUN จะย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายใน SET ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย.นี้ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ซึ่งการที่คุณสมบัติที่ผ่านเกณฑ์สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการย้ายเข้า SET เป็นการเพิ่มสภาพคล่องและเพิ่มเสถียรภาพของบริษัทฯ รวมถึงยังช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าลงทุนของกลุ่มกองทุน นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

"KUN เชื่อว่าการย้ายกระดานซื้อขายเข้า SET ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น, ราคาของหุ้น, เครดิตต่อสถาบันการเงินต่าง ๆ ความน่าเชื่อถือในการใช้เครื่องมือทางการเงิน และเพิ่ม ความน่าเชื่อถือต่อการลงทุนในอนาคต เช่น การควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) ประกอบกับยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนทั่วไป, นักลงทุนสถาบัน, รวมถึงกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ"

นางประวีรัตน์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี KUN มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบตามแผนยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองให้ครบ 4 ทิศรอบกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อมุ่งสู่อาณาจักรการสร้างเมืองที่อยู่อาศัยแห่งใหม่รอบ กทม. สอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ที่บริษัทวางไว้ เพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ สู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล

หลังจาก KUN เข้า mai ได้นำเงินจากการระดมทุนไปต่อยอดการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพิ่มเติม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ Covid-19 แต่ทั้งรายรับและกำไรเติบโตอย่างดีมาโดยตลอด เนื่องจากบริษัทได้ปรับกลยุทธ์นำไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบ ?สุขใจอยู่บ้านชานเมือง? เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก segment สินค้าให้ครบถ้วน โดยเจาะตลาดด้วยผลิตภัณฑ์เดิม (Market Penetration) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดเดิม (Product Development) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดใหม่ (Diversification)

ขณะที่องค์กรได้ผ่านการปรับตัวในหลายมิติเพื่อเดินต่อด้วย Efficiency จากการที่มีเพียง 4 โครงการ สู่การเติบโตถึง 9 โครงการ และได้เปิดโครงการครบ 4 ทิศในเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานครฯ ตามที่ได้ตั้งภารกิจไว้ เพิ่มสินค้าจากระดับราคา 2-5 ล้านบาทไปสู่ 2-15 ล้านบาทในปัจจุบัน

รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่ ภายใต้ "นาวาร่า (Navara)" ในการขยายตลาดที่อยู่อาศัยสู่ระดับ High-End ให้สอดคล้องกับแผนขับเคลื่อนการสร้าง การเติบโตขององค์กรให้ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสะท้อนผ่านยอดขายตั้งแต่ปี 53 ที่ระดับ 767 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2,800 ล้านบาทในปี 62 จนถึงในไตรมาส 2/67 ที่มียอดขาย 541 ล้านบาท

สำหรับแผน Road Map นั้น หลังจากปี 56 เป็นต้นมา บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตเป็นช่วงในระยะยาวเป็นแผน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 61-65 ตั้งภารกิจที่สำคัญคือการเข้าตลาด mai และตั้งเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท จ่ายปันผลสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปักหมุดพัฒนาโครงการให้ครบ 4 ทิศ รอบเขตกรุงเทพฯ ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งประสบความสำเร็จตามแผน

ดังนั้น ภารกิจในช่วงต่อไปปี 66-70 บริษัทตั้งเป้าย้ายกระดานเทรดจากตลาด mai สู่ SET พร้อมทั้งจะสร้างอัตราการเติบโตของรายได้ 5 ปีข้างหน้าเติบโตขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

นางประวีรัตน์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 67 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 800 ล้านบาท เติบโต 10-15% จากปีก่อน เนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี 67 จะทยอยรับรู้รายได้ของบ้านกลุ่ม "นาวาร่า" ประกอบกับในช่วงครึ่งปีแรก ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2567 บริษัททำรายได้ไปแล้วประมาณ 300 ล้านบาท และมี Backlog ประมาณ 240 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังทั้งหมดทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้

"Backlog)ของบริษัทอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/67 และไตรมาส 4/67 ทั้งหมด ทำให้รายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้า 820 ล้านบาท และปี 68 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 900 ล้านบาท โดยแผนปี 68 จะไม่ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติม เนื่องจากลงทุนซื้อที่ดินขนาดใหญ่ไปก่อนหน้านี้แล้ว ที่จะรองรับการพัฒนา 9 โครงการ เปิดแล้ว 2 โครงการ เหลืออีก 7 โครงการ ที่สามารถพัฒนาโครงการได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า"

โครงการของ KUN ที่อยู่ในระหว่างการขายมี 7 โครงการ แบ่งเป็น ทำเลบางบัวทอง 5 โครงการ, ทำเลพระราม 2 จำนวน 1 โครงการ และทำเลรังสิต 1 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินรอพัฒนาโครงการใหม่อีก 2 แปลงรวม 65 ไร่ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี แบ่งเป็นที่ดินรอการพัฒนา 1 แปลง และเป็นที่ดินเปล่าอีก 1 แปลง

และเนื่องจากบริษัทฯยึดรูปแบบธุรกิจการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ (business model) ทำให้การเปิดโครงการใหม่ไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่บริษัทจะเน้นเปิดโครงการเดิมตามแผนที่วางไว้มูลค่า 14,000 ล้านบาท

ล่าสุดบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ภายใต้ "นาวาร่า" ทั้ง 2 ทำเล (พระราม 2 และ รังสิต) ซึ่งเป็น แฟลกชิป (Flagship) ใหม่บนทำเลทอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรือธงในการสร้างรายได้ให้กับ KUN ในอนาคต เนื่องจากบ้านในกลุ่มดังกล่าว ในรูปแบบบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-14 ล้านบาท เน้นให้เนื้อที่มาก (62 ตารางวาขึ้นไป) โดดเด่นที่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ

ทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมีงานโอนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะเห็นได้จาก โครงการนาวาร่า พระราม 2 บ้านเดี่ยว จำนวน 469 แปลง มูลค่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ปัจจุบันโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 44 แปลง คิดเป็นยอดขาย 306 ล้านบาท ขณะที่ โครงการนาวาร่า รังสิตคลอง 2 บ้านเดี่ยว จำนวน 866 แปลง มูลค่า 7,000 ล้านบาท เริ่มเปิดขายเมื่อต้นปี 2567 เป็นต้นมา ปัจจุบันโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 12 แปลง คิดเป็นยอดขาย 83 ล้านบาท

นางประวีรัตน์ กล่าวว่า แผนการเปิดโครงการใหม่จะเน้นไปที่การพัฒนาที่ดินในมือเป็นหลัก ควบคู่กับการร่วมมือกับเจ้าของที่ดินที่สนใจเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้บริษัทรักษาความสามารถในการทำกำไรในระดับที่สูงได้ ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจอส่งหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งบริษัทมีข้อดีในด้านต้นทุนที่ดี ทำให้รักษาความสามารถในการทำกำไรได้ บริษัตั้งเป้ามีอัตรากำไรสุทธิราว 12% ต่อปี

"เราอาจจะไม่ได้มีการลงทุนซื้อที่ดินมาก แต่เน้นไปที่การพัฒนาโครงการในที่ดินของเรา และ JV กับเจ้าของที่ดินที่สนใจอยากพัฒนาโครงการ ทำให้เรามีข้อดีในด้านต้นทุน จะเห็นว่าผู้ประกอบการรายอื่นลดราคาลงมา แต่เรายังสามารถยืนราคาได้และลูกค้ายังตอบรับดี และเรามีต้นทุนที่ดีกว่า ทำให้กำไรยังรักษาระดับได้ดี รวมถึงต่อไปเราจะหันมาให้ผลตอบแทนที่เอ็นปันผลกับผู้ถือหุ้นมากขึ้นหลังจากเข้า SET เพราะมองว่าเราไม่ได้ลงทุนมาก ก็สามารถให้ผลตอบแทนกลับไปให้ผู้ถือหุ้นได้มากขึ้นแทน" นางประวีรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทมีแผนในการร่วมมือกับกับพันธมิตรพัฒนาโครงการบ้านผู้สูงอายุ รับเทรนด์สังคมผู้สูงวัย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา และพูดคุยกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ คาดว่าจะเริ่มพัฒนาในปี 2571 โดยที่บริษัทมีที่ดินในมือเป็นจำนวนมากคาดว่าจะใช้สร้างบ้านผู้สูงอายุแปลงละ 3-5 ไร่

สำหรับในช่วงไตรมาส 4/67 ต่อเนื่องไปที่ไตรมาส 1/68 จะเป็นช่วงที่ไฮซีซันของการซื้อบ้าน เนื่องจากใกล้สิ้นปีมีการสร้างครอบครัวใหม่ จัดงานแต่งงาน มีการย้ายงาน ได้รับโบนัส ทำให้มีความมั่นใจในการซื้อบ้านของลูกค้ามากขึ้น ประกอบกับความคาดหวังในการที่ภาครัฐจะมีการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ทำให้ผู้ที่ติองการซื้อบ้านมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับคาดหวังจะเห็นการที่ปลดล็อกเกณฑ์ LTV ทำให้ผู้ซื้อมีความสามารถในการกู้มากขึ้น หลังจากที่ปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายของการขอสินเชื่อที่ยังมีปัญหาด้านเครดิตของผู้ซื้อ ทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ