นายนพดล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการ บมจ.บอดี้ โกลฟ(ประเทศไทย)(BGT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ถึงราคาหุ้นที่ปรับลงแรงเช้านี้ว่า น่าจะเป็นเพราะบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/51 ยอดขายโตขึ้นกว่า 40% มาที่ประมาณ 150 ล้านบาท(จากงวดเดียวกันปีก่อนยอดขายอยู่ที่ 107 ล้านบาท) แต่ผลกำไรกลับโตขึ้นเพียง 10% โดยมีกำไรที่ 8.77 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 7.93 ล้านบาท
สาเหตุที่กำไรเติบโตน้อยกว่ายอดขายมาก เนื่องจากมีตัวแปร คือ ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าลิขสิทธิ์ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 4% ของยอดขาย หรือ คิดเป็นเงินประมาณกว่า 5 ล้านบาท จากเดิมจ่ายเพียง 1% ของยอดขาย เนื่องจากต้องเข้าสู่ระบบสัญญาที่ตกลงกันใหม่
นายนพดล กล่าวว่า หากผลประกอบการยังอยู่ในระดับดังกล่าวก็ถือว่าไม่ผิดปกติและยังน่าพอใจ เนื่องจากยอดขายเติบโตได้ถึง 40% แม้ว่าไตรมาส 2/51 และไตรมาสต่อๆ ไป ก็ยังต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในอัตรา 4% ของยอดขายเหมือนกัน แต่ไม่น่าจะกระทบกับผลประกอบการมากนัก เพราะในแง่ยอดขายยังเติบโตได้ดี
"ยอดขายไตรมาสแรกไม่มีอะไรน่าตกใจเพราะโตตั้ง 40% ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น ทั้งๆที่ตลาดโดยรวมวันนี้ก็บวกด้วย และทิศทางของเราก็ดีมาตลอดและหุ้นก็ขึ้นตามเหตุตามผลด้วย เพราะผลประกอบการก็ไม่ได้เลวร้าย กำไรในไตรมาสแรกอาจจะไม่ได้สูงลิ่ว แต่เทียบกับกับไตรมาสปีที่แล้วก็โตกว่า 10% และที่สำคัญยอดขายโตไปกว่า 40% ก็เป็นนัยสำคัญ เรายังไม่เห็นสัญญาณผิดปกติ" นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นมีแนวโน้มดีมาตลอดถึงแม้จะไม่หวือหวาแต่ก็ปรับขึ้นไปเรื่อยๆ 0.10-0.15 บาทต่อวัน จนถึง 5.60 บาท แสดงว่าผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจตรงนี้เราก็สบายใจ
นายนพดล กล่าวว่า บริษัทยังมีความมั่นใจมาโดยตลอดว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ทั้งปีเชื่อว่าน่าจะทำได้ในแง่ของยอดขาย ซึ่งอาจจะเติบโตได้ถึง 40% เหมือนกับยอดขายในไตรมาส 1/51 ส่วนผลกำไรน่าจะเป็นไปตามคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโต 10% แต่ไตรมาส 2-3/51 ค่าใช้จ่ายที่จะมาตัดจ่ายอย่างไตรมาสแรกคงจะมีน้อยลง
"ถ้าเราสามารถที่จะเพิ่มยอดขายอยู่ในอัตราส่วนอย่างงี้ อาจจะไม่ถึง 40% เท่าไตรมาสแรก ถ้าทั้งปีอยู่ที่ 30-35% ยอดขายก็น่าจะ 600 กว่าล้านบาทน่าจะได้ในปีนี้ เฉพาะในประเทศไทยยังไม่รวมยอดขายจากฟิลิปปินส์ และอัตรากำไรสุทธิโต 10%"นายนพดล กล่าว
*คาดสรุปพันธมิตรฟิลิปปินส์ไตรมาส 3-4 นี้
นายนพดล คาดว่า บริษัทจะสามารถสรุปการเจรจาหาพันธมิตรร่วมธุรกิจในฟิลิปปินส์ได้ในช่วงไตรามาส 3-4/51 เพื่อเริ่มธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากกฎหมายของฟิลิปปินส์กำหนดว่าหากเป็นธุรกิจค้าปลีกทางเอกชนฟิลิปปินส์จะต้องถือหุ้นอย่างต่ำ 60% ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ BGT ถือหุ้น 100%
ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนพ.ค.ถึงต้นเดือนมิ.ย.นี้ทางฟิลิปปินส์จะนำทีมเข้ามาเจรจากับบริษัท ซึ่งเป็นทีมที่เราจะเลือกว่าใครจะมาเป็นพันธมิตรใหม่ เพื่อให้บริษัทพิจารณาว่าโครงงานของทีมใดน่าสนใจที่สุด ส่วนจะเปิดกี่สาขาขึ้นอยู่กับว่าทีมที่จะเข้ามาเจรจา โดยจะมีการพิจารณาแผนงานด้านการตลาดร่วมกัน
"ขณะนี้มีคนที่จะอยากมาหมั้นหมายแต่งงานด้วยเยอะหลายรายแต่เราจะเลือกรายที่มีประสบการณ์ที่สุด ดีที่สุด และมีช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่แล้วเป็นปริมาณที่เราพึงพอใจอยู่ด้วย"นายนพดล กล่าว
สำหรับเม็ดเงินที่จะไปลงทุนตลาดฟิลลิปปินส์จะเป็นเงินจากที่ระดมทุนครั้งที่แล้ว ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสดที่ดี เพราะมียอดขายดี ซึ่งการลงทุนในฟิลิปปินสช่วงไตรมาสแรกๆ คงเป็นการเริ่มต้นรายได้ ไม่เป็นนัยสำคัญ แต่จะเห็นความชัดเจนในผลประกอบการปี 52 ที่น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายนพดล กล่าวว่า ปัจจุบัน BGT มี 71 สาขาทั่วประเทศ แต่ไตรมาส 2-3/51 นี้จะเห็นสาขาเพิ่มเติมอีก โดยคาดว่าปีนี้ทั้งปีคงเปิดเพิ่มโด้อีก 20 สาขา ซึ่งหลังจากขยายธุรกิจในฟิลิปปินส์เสร็จเรียบร้อยแล้วคิดว่าจะไปรุกตลาดที่เวียดนามต่อไป
นายนพดล ยังกล่าวอีกว่า แผนการเพิ่มทุนหรือการออกวอร์แรนต์ยังไม่มีความคืบหน้าในขณะนี้ เนื่องจากสภาพคล่องของบริษัทยังมีเพียงพอที่จะขยายธุรกิจ โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ ซึ่งหากแนวโน้มธูรกิจในฟิลิปปินส์มีความชัดเจนเมื่อใดก็อาจจะหยิบยกแผนงานดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา โดยปัจจุบันบริษัทมี DE ที่ 0.77 เท่า เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 0.87 เท่า ขณะที่ BV อยู่ที่ 2.80 บาท
"อะไรก็ดีขึ้นทั้งหมด เราก็ยังมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดผลกำไรอาจจะยังไม่ need ถึง 20% แต่กำไรและยอดขายก็โต และ DE ก็ต่ำลง ก็ถือว่าดีขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นหมด" นายนพดล กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--