IAA มอง SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด รับเม็ดเงินกองวายุภักษ์-Thai ESG บาทแข็งหนุน Fund Flow

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 2, 2024 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

IAA มอง SET ปี 68 ที่ 1,614 จุด รับเม็ดเงินกองวายุภักษ์-Thai ESG บาทแข็งหนุน Fund Flow

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนไตรมาส 4/67 มีภาพบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากที่ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาช่วยหนุนดัชนีให้ฟื้นตัวขึ้น ทั้งกระแสเงินทุนที่มาจากกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท ที่เริ่มทยอยเข้ามาในตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่จะมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ทยอยเข้ามา ขณะเดียวกันยังมีกระแสเงินทุนที่มาจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% ไปเมื่อการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนมาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และในเดือนพ.ย.นี้ คาดหวังที่ MSCI จะมีการอัพเกรดหุ้นไทยขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 67 คาดว่าจะยังคงมีเม็ดเงินของการซื้อกองทุน Thai ESG ที่มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้น่าสนใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากส่วนนี้เข้ามาราว 2 หมื่นล้านบาท ที่จะช่วยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 32.22% จากก่อนหน้าที่ 20% และประเมินดัชนี SET สิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 1,494 จุด และกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 89.91 บาท/หุ้น

ส่วนสิ้นปี 68 คาดว่าดัชนี SET อยู่ที่ 1,614 จุด โดยยังมองว่ามีปัจจัยหนุนจากการที่กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง จากอานิสงส์ของการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ทำยังคงเห็นภาพของ Fund Flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้เป็นปัจจัยที่หนุนต่อตลาดหุ้น และค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในโซนแข็งค่าช่วง 32-33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

ขณะที่การเมืองในประเทศยังมีเสถียรภาพ ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสามารถออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการผลักดันการลงทุนโครงการต่างๆ และการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติหรือบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย สร้างเม็ดเงินใหม่ๆให้เข้ามา จากที่ล่าสุด Google ได้เข้ามาลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1% ของจีดีพีไทย

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ฯต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการ Entertainment Complex ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นการสร้าง New Investment และ New Economy ให้กับเศรษฐกิจไทย เกิดความคึกคัก และมีสิ่งใหม่ๆดึงดดูให้คนเข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะซับพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการและการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามในช่วงปลายปี 67 ที่จะมีความเกี่ยวโยงมาถึงตลาดหุ้นไทยในปี 68 คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐในด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า รวมถึงเรื่องภาษีของภาคธุรกิจของบริษัทในสหรัฐ โดยประเมินว่าหากประธานาธิบดีที่มาจากพรรค Democrat ได้รับชัยชนะ จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะนโยบายยังคงเหมือนเดิม แต่หากประธานาธิบดีจากพรรค Republican ได้รับชัยชนะ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นไทย จากการที่มีมาตรการกีดกันทางการค้าจากฝั่งเอเชีย และการที่ลดภาษีนิติบุคคลให้กับภาคธุรกิจ ทำให้กำไรของบริษัทในสหรัฐจะดีขึ้น และเงินลงทุนจะกลับไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ได้รับประโยชน์ ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นของดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก และปี 68 ลุ้นขึ้นไปยืนเหนือ 1,600 จุด มองว่าเป็นระดับที่ยังไม่แพง โดยมี P/E ที่ 15-16 เท่า ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐที่มี P/E สูงถึง 23-24 เท่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในการลงทุน โดยที่หุ้นที่แนะนำและมีความน่าสนใจในการลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยที่มีหุ้นแนะนำ ได้แก่

1. AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี

2. BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น

3. CPALL ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น

4. GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ