เดือนกันยายนที่ผ่านมา ราคาของ BTC ปรับขึ้นสูงสุดกว่า 25% จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีของสหรัฐฯ ที่ 50 Bps ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวัฎจักรเศรษฐกิจ (Market cycle) ส่งผลให้นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและเป็นโอกาสของสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะยาว นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด (Merkle Capital) มองว่า Bitcoin และภาพรวมคริปโทฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Ethereum ecosystem นั้นมีแนวโน้มที่สามารถเติบโตได้สูงในเดือนตุลาคมด้วยเหตุผลดังนี้
1) Dot plot แสดงถึงโอกาสของสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาว
จาก Dot plot ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เผยแพร่ในเดือนกันยายน เมื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยใน Longer run ที่บริเวณ 2.5 - 3.0% จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยต่างจากปี 2025 เพียง 25 - 50 Bps เท่านั้น แสดงถึงความผ่อนคลายของตลาดลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญทั้งด้านปัจจัยพื้นฐานและสถิติ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยจริงในอนาคตอาจมีความผันผวนจาก Dot plot ที่ประกาศออกมา
2) Stablecoin supply ทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
ข้อมูลของ Total stablecoin supply แสดงถึงมูลค่าเงินสดที่อยู่ในตลาดคริปโทฯ แม้ในปัจจุบันราคาของ BTC จะผ่านระดับ All time high เดิมแล้ว แต่สกุลเงินอื่นนั้นยังไม่สามารถทดสอบระดับเดิมได้ และเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลนี้จะพบว่า Total stablecoin supply ที่ระดับ All time high นั้นเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นของนักลงทุนในปัจจุบัน
3) Total3 หรือ Altcoins market cap ผ่านแนวกดสำคัญ
Total3 คือข้อมูลที่แสดงถึงมูลค่าตลาดของคริปโทฯ ยกเว้น BTC และ ETH ปรับตัวขึ้นครั้งสำคัญกว่า 25% และผ่านแนวทดสอบสำคัญในรอบ 6 เดือน แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาพรวมตลาดคริปโทฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Ethereum ecosystem ที่มีการปรับตัวขึ้นนำสกุลเงินอื่น
นายมานะ คานิโยว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจและพาณิชย์ Merkle Capital กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวข้างต้น อาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การบานปลายของสงคราม ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็อาจจะทำให้มีการตื่นตระหนก และเกิดการเทขายสินทรัพย์ต่าง ๆ (Panic Sale) ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพเศรษฐกิจซึ่งออกท่าทางว่าจะดี อย่างไรก็ตาม โดยรวมยังคงมองเป็นปัจจัยบวกใน short-mid term ที่จะถึง