หุ้น TATG เปิดเทรดวันแรก 2.32 บาท ราคาพุ่ง 85.60% จากราคา IPO ที่ 1.25 บาท
บล.โกลเบล็ก (เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นกู้ซื้อจะได้รับค่าธรรมเนียมในฐานะผู้จัดจำหน่าย) ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) ให้ราคาเหมาะสม 1.98 บาท
TATG ประกอบด้วย บริษัทย่อย คือ 1. บริษัท ไทย ออโต ทูลส์(ปทุมธานี) จำกัด (TATP) ออกแบบและผลิตแม่พิมพ์โลหะอุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ และอุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ (Tooling) 2. บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ (ชลบุรี) จำกัด (TATC) ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบการปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) พร้อมบริการชุบเคลือบสีชิ้นส่วนด้วยระบบไฟฟ้า EDP (Electro Deposition Paint) โดยมุ่งเน้นผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการความพิถีพิถันสูง เช่น ฝาครอบหม้อลมเบรครถยนต์ ถาดรองน้ำมันเครื่อง ชิ้นส่วนรถยนต์ ที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ และ 3. บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ (อีสเทิร์น) จำกัด (TATE) ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบการปั๊มขึ้นรูปโลหะ (Automotive Press Parts) มุ่งรองรับลูกค้าที่ต้องการผลิตปริมาณมาก (Mass Production)
TATG เสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 100.00 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25.0% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น โดยราคา IPO คิดเป็น historical P/E ที่ประมาณ 5.2 เท่า คิดเทียบกับ P/E บริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน ได้แก่ SAT 8.5 เท่า และ SAT 6.7 เท่า
วัตถุประสงค์การระดมทุน 1. เพื่อจ่ายคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน และ/หรือ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 2. เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 3. เพื่อใช้สำหรับลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมในกลุ่มบริษัทฯ
คาดผลประกอบการปี 67-68 เติบโตตามภาวะอุตสาหกรรม 1. อยู่ในอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูป การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบการผลิตที่สำคัญ และมาตรการส่งเสริมการผลิตรถ EV 2. ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ได้คลี่คลายไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน 3. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยโอกาสฟื้นตัว จากสถานการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายลง ส่งผลให้มีความคาดหวังการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4. ปริมาณรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ และตลาดรถใหม่
ประมาณการรายได้ปี 67-68 ราว 3,211.3 ล้านบาท และ 3,436.1 ล้านบาท เติบโต +7.0%YoY และ +7.0%YoY พร้อมคาดกำไรสุทธิระดับ 82.8 ล้านบาท และ 102.9 ล้านบาท เติบโต +77.5%YoY (เทียบกับฐานต่ำ) และ +24.3%YoY ตามลำดับ
ฝ่ายวัจัยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ PER เฉลี่ยที่ 7.6 เท่า โดยเราประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 ที่ราว 0.26 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 1.98 บาทต่อหุ้น และคาดหวังอัตราเงินปันผลที่ 5.6% ต่อปี