บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล (TMAN) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 16.30 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 10-11 และ 15 ตุลาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ "TMAN" ภายในเดือนตุลาคมนี้
TMAN แต่งตั้ง บล. กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยมี บล.อีก 5 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.ทรีนีตี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) และ บล.เอเซีย พลัส
นายทินพันธุ์ หวั่งหลี รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น TMAN กล่าวว่า TMAN จะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 102 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.75 บาท คิดเป็นไม่เกิน 25.5% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO แบ่งเป็น 1) หุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 71,430,000 หุ้น และ 2) หุ้นสามัญโดยผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 30,570,000 หุ้น โดยมีมูลค่าการเสนอขายรวม 1,662.6 ล้านบาท
มูลค่าตามราคาบัญชี (Book Value) ประมาณ 5.3 บาทต่อหุ้น กรณีคำนวณจากมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินรวมที่สอบทานแล้วงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.67 ซึ่งเท่ากับ 1,757.8 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วก่อนเสนอขาย IPO จำนวน 328.6 ล้านหุ้น ทั้งนี้ ภายหลังจากจ่ายปันผลระหว่างกาลก่อนขาย IPO จำนวน 1,335.7 ล้านบาท มูลค่าตามราคาบัญชีปรับปรุงจะเท่ากับประมาณ 1.3 บาทต่อหุ้น
หากพิจารณากำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ไตรมาส 3/66-ไตรมาส 2/67) ซึ่งเท่ากับ 419.1 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 400,003,600 หุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 1.0 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ประมาณ 15.6 เท่า
TMAN ประกอบธุรกิจ (1) ผลิต และ/หรือจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ (2) รับจ้างผลิตเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก (3) จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก
การระดมทุนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การใช้เงินดังนี้ 1. ใช้เป็นเงินทุนในการขยายกำลังการผลิต และ/หรือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต หรือการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมยาและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ จำนวนไม่น้อยกว่า 675.60 ล้านบาท ภายในปี 2570 และ 2. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม ไม่เกิน 450 ล้านบาท
นายทินพันธุ์ กล่าวว่า กลุ่มครอบครัวฐานะโชติพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยินยอมโดยความสมัครใจที่จะไม่ขายหรือโอนหุ้น 78 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 19.5% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เป็นระยะเวลา 180 วันนับจากวันที่หุ้นเข้าเทรด (Voluntary Share Lockup) ซึ่งเมื่อรวมกับหุ้นที่ถูกห้ามขายตามที่กำหนด (Regulatory Lockup) 220 ล้านหุ้น หรือเท่ากับ 55% ของทุนชำระแล้วภายหลัง IPO จะถือเป็นการ Lockup ทั้งหมดรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 298 ล้านหุ้น หรือ 74.5% ของทุนชำระแล้วภายหลัง IPO
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMAN กล่าวว่า กลุ่มบริษัทวางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) มุ่งเน้นสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการยอมรับ 2) ขยายฐานลูกค้ากลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ห่วงโซ่ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมยา 3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน 4) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM/ODM) 5) เพิ่มสัดส่วนธุรกิจรับจัดจำหน่าย 6) เพิ่มการเติบโตของรายได้จากการขยายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ 7) สรรหาบุคลากรสำคัญที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับการดำเนินงานในอนาคต 8) ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
ณ วันที่ 30 มิ.ย.67 กลุ่มบริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพรวม 226 แบรนด์ และรับจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก 16 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 842 ผลิตภัณฑ์ (SKUs)
งวด 6 เดือนแรกของปี 67 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,105.2 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 15.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ผลิตภัณฑ์กลุ่มโรคทางเดินหายใจ การขยายตัวของตลาดต่างประเทศและความต้องการใช้ในประเทศ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ เม็ดอมบรรเทาอาการเจ็บคอแบรนด์ Propoliz และแบรนด์ Basina รวมทั้งรายได้จากกลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) จากความต้องการกลุ่มลูกค้าร้านขายยาเพิ่มขึ้น และรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ยาลดไขมันในเลือดแบรนด์ ATTOR
นายธนัท พลอยดนัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ TMAN กล่าวว่า การจำหน่ายยาในประเทศไทยยังมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 66-68 คาดว่ามูลค่าจำหน่ายยาจะเติบโตเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการในไทยมากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประชาชน ทำให้ความต้องการบริโภคยาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลจะเติบโตเฉลี่ย 6.3% ต่อปี ส่วนมูลค่าการจำหน่ายผ่านร้านขายยา (OTC) จะเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี
นอกจากนี้ จากข้อมูลการคาดการณ์จาก Euromonitor อุตสากรรมสุขภาพยังได้รับปัจจัยบวกจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ มลภาวะที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย โดยคาดว่าจะสนับสนุนตลาดวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Vitamins and Dietary Supplements) เติบโตเฉลี่ย 8.4%ต่อปี ในช่วงปี 64-68 จึงเป็นโอกาสเติบโตของกลุ่มบริษัท
สำหรับแผนการลงทุนรองรับการเติบโตในอนาคตคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 777.5 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร 8 โครงการ มูลค่าลงทุนราว 298.5 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบันประเภท เม็ด น้ำ และครีม 2) ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรลงบรรจุภัณฑ์ 3) ขยายงานวิจัยและพัฒนา 4) ก่อสร้างคลังสินค้าและอาคารสำนักงาน บริษัท เฮเว่น เฮิร์บ จำกัด 5) ขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทของแข็ง (Solid Dosage Form) 6) พัฒนาระบบงานขายบนเทคโนโลยีสารสนเทศ 7) ซื้อเครื่องมือควบคุมคุณภาพการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบัน และ 8) ซื้อเครื่องมือควบคุมคุณภาพการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและปรับปรุงพื้นที่เพื่อติดตั้งเครื่องจักรผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบน้ำ
ส่วนโครงการลงทุนในอนาคต 5 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 479 ล้านบาท ได้แก่ 1) สร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ 2) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบันครั้งที่ 1 รูปแบบของแข็ง (Solid Dosage Form) 3) ติดตั้ง Solar Rooftop 4) ปรับปรุงพื้นที่การผลิตยาแผนปัจจุบัน และ 5) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มยาแผนปัจจุบันครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)