นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) มั่นใจจะเริ่มเห็นกำไรสุทธิในไตรมาสใดไตรมาสหนึ่งของปี 68 เป็นผลจากการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยหลังควบรวมเครือข่ายของ DTAC แล้วเสร็จครบ 17,000 สถานีฐานในไตรมาส 3/68 จากสิ้นไตรมาส 3/67 ที่ทำได้แล้ว 10,800 สถานีฐาน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/67 มีกำไรหลังการปรับปรุง (Normalized) ราว 3.1 พันล้านบาท แต่เมื่อหักจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนและการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ราว 3.9 พันล้านบาท ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 810 ล้านบาท
และในไตรมาส 4/67 จนถึงไตรมาส 3/68 บริษัทจะยังคงมีรายการ One Time จากค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ซึ่งแต่ละไตรมาสจะเกิดขนาดรายการไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของงาน
ขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายลดลงจากการควบรวมกิจการ ได้แก่ ค่าเช่าโครงข่าย โดยเฉพาะ คลื่น 850MHz และ 2300 MHz ที่เช่าจาก บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งหากหมดสัญญาในปี 68 อาจมีบางส่วนที่ไม่ได้เช่าต่อ
"ปีหน้าเราจะรายงานกำไรสุทธิ แต่ไม่รู้ไตรมาสไหน จากที่เราพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยเสร็จสิ้น ค่าใช้จ่าย Network จะค่อยๆ ลดลงจากการควบรวม ลดค่าเช่า ลดค่าใช้จ่ายการขายการตลาด ซึ่งเม็ดเงินลดลงของค่าใช้จ่ายจะเพิ่มกระแสเงินสดให้กับ TRUE"นายนกุล กล่าว
นายนุกุล ยังคาดว่าแนวโน้มอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อ EBITDA ลดลง โดยสิ้นไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 4.4 เท่า จาก 5.6 เท่าในไตรมาส 3/66 หรือลดลง 1.2 เท่า และจาก 4.7 เท่าในไตรมาส 2/67 เนื่องจากจำนวนหนี้สินค่อยๆ ลดลงและภาระดอกเบี้ยลดลง โดยล่าสุดบริษัทได้เงินกู้ยั่งยืนเป็นเงินสกุลเยนราว 900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สามารถลดดอกเบี้ยลงประมาณ 0.8% และแนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศก็จะลดลง
หนี้สิน ณ สิ้นไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 4.19 แสนล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/66 ที่ 4.56 แสนล้านบาท
ทั้งปี 67 คาดว่า EBITDA จะเติบโตมากกว่า 14% จากเป้าหมาย 12-14% โดยในช่วง 9 เดือนแรก EBITDA เติบโต 15.3% (หลังรายการปรับปรุง) มาที่ 7.29 หมื่นล้านบาท และในไตรมาส 4/67 เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นที่มีการใช้มือถือเพิ่มขึ้นรวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ทำให้มีรายได้สูงขึ้นจากไตรมาส 3/67
นายนุกุล กล่าวว่า ราคาหุ้น TRUE ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากควบรวม DTAC โดยในช่วงวันที่ 3 มี.ค.66-28 ต.ค.67 หรือ 18 เดือนราคาหุ้น TRUE ขึ้นมาถึง 38.4% จาก 8.60 บาท มาเป็น 11.90 บาท ขณะที่ภาพรวม SET ปรับตัวลดลง 9.6%
นอกจากนี้ สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ( รวม Thai NVDR) อยู่ที่ 61.61% ( ณ 25 ต.ค.67) เพิ่มขึ้นจาก 58.41% (ณ 3 มี.ค.66) แสดงถึงความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ