นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวว่า บริษัทยอมรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 1.5 แสนล้านบาท น่าจะทำได้ไม่ถึงเป้า หลังผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 67 มีรายได้จากการขายราว 101,553 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3/67 รายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามการลดลงของปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังตลาดหลัก โดยเฉพาะจีน
ทั้งนี้ แม้รายได้จะพลาดเป้า 1.5 แสนล้านบาท แต่ยังเชื่อว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราว 1.3 แสนล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ ตามความต้องการภายในประเทศและตลาดส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงยังมีส่วนช่วยให้ความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวดีขึ้น
พร้อมมองแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาส 4/67 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 3/67 เนื่องจากในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. จะเป็นช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคจะเพิ่มการสต็อกสินค้าเพื่อรองรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ภาคการบริการและการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และความต้องการสินค้าคงทนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมรับเทศกาลเฉลิมฉลอง ขณะที่เศรษฐกิจของจีนคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนราคากระดาษรีไซเคิลมีแนวโน้มลดลงจากราคาที่ปรับตัวลงมาในช่วงไตรมาสก่อน SCGP จึงยังคงมุ่งขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และโซลูชันที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ร่วมมือกับ Once Medical Company Limited พัฒนาโซลูชันเข็มฉีดยา และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการผลิตของ VEM Thailand และขยายเครือข่ายลูกค้าให้แข็งแกร่งและครอบคลุมยิ่งขึ้น
ต้นทุนวัตถุดิบบางส่วนมีแนวโน้มขาลงก็จะช่วยหนุนผลงานในไตรมาส 4/67 ขณะที่บริษัทยังมุ่งบริหารต้นทุนและเพิ่มความสามารถทำกำไรด้วยการปรับพอร์ตเพิ่มยอดขายสินค้ามูลค่าสูง เพิ่มสัดส่วนการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปประเทศที่มีความต้องการ เพิ่มการใช้กระดาษรีไซเคิลภายในประเทศและขยายเครือข่ายการจัดหากระดาษรีไซเคิลเพิ่มขึ้น รวมถึงมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง
นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนปรับพอร์ตตลาดส่งออก จากปัจจุบันมุ่งเน้นที่ตลาดจีนเป็นหลัก ก็จะหันมุ่งสู่ตลาดตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ โดยใช้โอกาสในช่วงที่ค่าขนส่งสินค้า (Freight) ปรับตัวลงมา คาดว่าจะช่วยทดแทนตลาดจีนที่มีปริมาณการขายหดตัวได้
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานในปี 68 เบื้องต้นบริษัทวางงบลงทุนไว้ราว 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการทำ M&P โดยปัจจุบันก็มีการเจรจาอยู่จำนวน 1 ดีล คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีหน้า อีกทั้งบริษัทยังคาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 68 จะเติบโตดีกว่าปีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าไม่น่าจะต่ำกว่าปีนี้แล้ว โดยมองครึ่งแรกของปีหน้าจะฟื้นตัวจากครึ่งหลังของปีนี้จากเศรษฐกิจ Soft Landing และเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ต่ำกว่า 1%