นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ โดยยังขาดปัจจัยใหม่ที่เข้ามาช่วยผลักดันตลาดหุ้น และเมื่อคืนนี้รายงานจีดีพีไตรมาส 3/67 ของสหรัฐออกมาเติบโต 2.8% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน และการบริโภคยังออกมาสูง ส่งผลต่อการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะเริ่มเห็นการชะลอลดดอกเบี้ยลง
โดยปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ยังทรงตัวในระดับสูง เป็นปัจจัยที่กดดันต่อตลาดหุ้น รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์หน้า ทำให้ยังเป็นปัจจัยที่กดดันต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาเช้านี้เคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน
ให้แนวต้าน 1,460 จุด แนวรับ 1,440 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (30 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,141.54 จุด ลดลง 91.51 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,813.67 จุด ลดลง 19.25 จุด หรือ -0.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,607.93 จุด ลดลง 104.82 จุด หรือ -0.56%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 39,179.72 จุด ลดลง 97.67 จุด หรือ -0.25% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,414.20 จุด เพิ่มขึ้น 33.56 จุด หรือ +0.16% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดที่ระดับ 3,267.98 จุด เพิ่มขึ้น 1.74 จุด หรือ +0.05%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 ต.ค.) 1,447.20 จุด ลดลง 3.96 จุด (-0.27%) มูลค่าซื้อขายราว 39,614.17 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,254.11 ล้านบาท (30 ต.ค.)
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. (30 ต.ค.) เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 68.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 ต.ค.) อยู่ที่ 5.10 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.79 แนวโน้ม Sideway ทางอ่อนค่า เกาะติด BOJ-รอความชัดเจนเลือกตั้งสหรัฐ
- "พิชัย" ชี้เศรษฐกิจไทยโต ตามศักยภาพมีโอกาสท้าทายดันจีดีพี ปี 68 โตถึง 3.5% เร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยโครงสร้างพื้นฐาน "แลนด์บริดจ์อีอีซี-รถไฟ 3 สนามบิน" นำไทยสู่ศูนย์กลางทางการเงิน "กกร." วอนกระตุ้นบริโภค "คูณสอง-ลดหย่อนภาษี" เลขาธิการ 'OECD' พบ 'แพทองธาร' หนุนไทยยกระดับเศรษฐกิจ "แบงก์ชาติ" ลั่น "เงินเฟ้อ" เพิ่มขึ้นได้หากหนุนเศรษฐกิจโต แต่ต้องอยู่ในกรอบ 1-3%
- "พิชัย" รองนายกฯ และรมว.คลัง เร่งแก้หนี้ครัวเรือน ป้องกันหนี้สาธารณะเร่งตัว ด้านสมาคมแบงก์-กกร. หนุนรัฐออกมาตรการแก้หนี้ฯ เร็วๆ นี้ หวังจีดีพีกลับมาพุ่ง เผยแบงก์ขอเสนอแล้วให้ลดเงินนำส่ง FIDF ด้านธปท.ย้ำกรอบเงินเฟ้อ 1-3% เหมาะสม
- "ราคาทองคำ" พุ่งแรง "ทุบสถิติ" รายวัน "ทองนอก-ทองไทย" เดินหน้าทำ "จุดสูงสุดใหม่" เป็นประวัติการณ์ที่ 2,782 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 45,050 บาท รับปัจจัยหนุนนักลงทุนเก็งผล "ทรัมป์" ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ-สงครามตะวันออกกลางไม่แน่นอน "วายแอลจีฯ" ชี้ไปต่อถึง 2,850 ดอลลาร์ "บล.ดาโอ" ปรับเป้าราคาปลายปีแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ "สภาทองคำโลก" ชี้ดีมานด์ทองโลกทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ครั้งแรก
- เอกชนยัน "หนี้ครัวเรือน" รั้งเศรษฐกิจไม่โต หวังช่วงสิ้นปีมีมาตรการกระตุก ชี้การท่องเที่ยวยังช่วยแบก สศอ.เผยดัชนี MPI ก.ย.2567 หดตัว 3.51% กดดัน Q3 หดตัว 1.23%
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPALL (ลิเบอเรเตอร์) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 80 บาท คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67เติบโต y-y แต่ลดลง q-q ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต +2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้ม ไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้ง q-q และ y-y
- AOT (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 66/67 (ก.ค.-ก.ย.67) คาดกำไรลดลง QoQ เนื่องจากเป็น low season และเริ่มรับรู้ผลกระทบจากรายได้ค่าเช่าพื้นที่และผลประโยชน์ตอบแทนขันต่ำที่ลดลงของ King Power แต่จะยังปรับตัวดีขึ้น YoY จากสถิติการบินที่ฟื้นตัว มองข้ามไปที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ปี67/68-ไตรมาส 2 ปี 67/68 จะกลับมาฟื้นตัว QoQ, YoY เพราะเข้า High Season ท่องเที่ยว โดยในปี 67/68 เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 2.2 หมื่นล้านบาท เติบโต +17%YoY ภายใต้สมมติฐานจำนวนผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 135 ล้านคน เติบโต +13%YoY และจำนวนเที่ยวบิน 8.3 แสนเที่ยวบิน +13%YoY ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการเปิด Runway 3 ในเดือน พ.ย.67
- VIH (ฟินันเซียไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 15 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาว โดยแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ปลายปี 69 ที่จะเป็น tertiary care เราคิดว่าจะเป็นการ unlock VIH กลายเป็นโรงพยามาล chain ที่ดีขึ้นจากปัจจุบันที่มี 4 โรง 483 เตียง และมี upside จากเรื่องปรับราคาค่าบริการขึ้น 3-7% ในช่วงต.ค. (ไม่ได้ปรับมา 2 ปี) เราคาด EPS ปี 67-68 เติบโต +9% y-y และ +14% y-y ตามลำดับ ด้านฐานะการเงินมีสถานะเป็น net cash จึงมีโอกาสที่จะทำ M&A เพื่อเพิ่มกำไรมา offset กับ loss ของรพ.ใหม่ในช่วงแรก ด้าน Valuation ปัจจุบันเทรด PER เพียง 16.7 เท่า เป็นหนึ่งในรพ.ที่ถูกที่สุดในตลาด