นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า บริษัทปรับกลยุทธ์สู้เศรษฐกิจผันผวน เดินเกมระยะสั้น-ยาว มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และรัดกุมยิ่งขึ้น หวังเพิ่มสภาพคล่องปีหน้า 1.5 หมื่นล้านบาท
แผนระยะสั้น ประกอบด้วย
1. มุ่งลดต้นทุนทั้งองค์กรให้ได้ 5,000 ล้านบาทภายในปี 68
2. ลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10,000 ล้านบาท ให้ได้ภายในไตรมาส 1/68
3. ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีกิจการที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิก
4. ขายสินทรัพย์ (Asset Divestment) เพิ่มความคล่องตัวและมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพประกอบกับยกระดับประสิทธิภาพการผลิต รักษา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ต่อเนื่อง อาทิ เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนโรงงานปูนชีเมนต์ในไทย 50% ภายในปีนี้ การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Automation) ผลิตกระเบื้อง แม่นยำ รวดเร็ว ลดวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เอสซีจี มีการลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
ส่วนในระยะยาว เรื่องกรีน Inclusive Green Growth ยังเป็นโอกาสและความได้เปรียบทางธุรกิจ บริษัทฯ เตรียมเร่งลงทุนโครงการอีเทนที่ LSP ลดต้นทุนวัตถุดิบ ด้วยงบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขีดขีดความสามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก ทั้งยังช่วยลด คาร์บอนไดออกไซต์ในกระบวนการผลิต พร้อมผลักดันวัตกรรมกรีนมูลค่าเพิ่มสูง อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนอเรชัน 2 ได้รับการตอบรับที่ดี ต่อเนื่อง มีสัดส่วนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำทดแทนแบบเดิม 86% ตั้งเป้าโต 100% ในปี 68 , พลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMER " เติบโตต่อเนื่อง
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับปี 67 บริษัทปรับลดเป้ารายได้เหลือเติบโต 3-5% จากเดิมที่คาดจะเติบโตได้ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวลากยาว สงครามตะวันออกกลางสินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันภายในประเทศมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทผันผวน นับเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อยาวนาน
อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขายรวมในไตรมาส 4/67 จะดีขึ้นจากไตรมาส 3/67 จากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ภาพรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในส่วนของตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างของไทยยังซะลอตัวจากงานโครงการที่ชะลอตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) คาดแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/67 ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์วัฏจักรปิโตรเคมีขาลง โดยกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ ทั่วโลกกำลังการผลิตใหม่ลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงาน แต่มีกำลังการผลิตเพิ่มจากสหรัฐและและจีนเข้ามาเสริมแทน รวมถึงความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัว, กลุ่มธุรกิจไวนิล อ่อนตัวลงจาก Low season, กำลังการผลิตจากสหรัฐและจีนเพิ่มเข้ามาใน SEA ด้านต้นทุนแนฟทา มีแรงหนุนจากความต้องการในช่วง Seasonal, ราคาวัตถุดิบ EDC อ่อนตัว ตามความต้องการของตลาดที่ลดลง
โดย SCGC คาดการณ์ปริมาณการขายเม็ดพลาสติก (PVC) ปรับตัวลงเล็กน้อยในไตรมาส 4/67 ราว 10 KT จากการบริหารจัดการวัตถุดิบ แม้ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์โรงงาน TPC ไฟไหม้ โดยในไตรมาส 3 รับรู้ค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ดังกล่าวประมาณ 63 ล้านบาท (โดยหลักจากความเสียหายของสินทรัพย์)
ส่วนการหยุดเดินเครื่องโครงการ LSP ไปในช่วงกลางเดือนต.ค.ที่ผ่านมา หลังเพิ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.67 ก็เพื่อบริหารต้นทุนธุรกิจโดยรวม ซึ่งจะมีการประเมินการกลับมาเดินเครื่องอีกครั้งเมื่อสถานการณ์เหมาะสม
SCGC จึงรุกสร้างศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวด้วยโครงการลงทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิต LSP เพื่อสามารถรับก๊าซอีเทนประเทศสหรัฐ ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพราะเป็นวัตถุดิบที่ต้นทุนสามารถแข่งขันได้ ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก และเพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบในการผลิต ใช้เงินงบลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เพื่อสร้างถังรับก๊าซอีเทน และสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (Supporting Facilties) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 70
นอกจากนี้ มุ่งบริหารจัดการการผลิตของโรงงานทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานระยองโอเสฟินส์ (ROC) ,โรงานมาบตาเลฟินส์ (MOC) และโรงงาน LSP ให้เหมาะสมกับราคาวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เพื่อให้มีศักยภาพการแข่งขันสูงสุด รวมถึงเข้าทำตลาดกับลูกค้าในประเทศเวียดนาม, ส่งมอบนวัตกรรมพลาสติกมูลค่าเพิ่มสูงสู่ตลาดเวียดนาม, ยกระดับ Supply Chain ลดต้นทุนการขนส่ง, ใช้ AI และ Automation พัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
ด้าน เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล รุกตลาดค้าปลีกศักยภาพสูงสำหรับสินค้าและบริการเรื่องบ้านที่โตต่อเนื่อง ล่าสุด เร่งขยายโมเดิร์นเทรด Mitra 10 ในประเทศอินโดนีเซีย เปิดเพิ่มอีก 2 สาขาที่เมืองจาบาเบกา และซามารินดา โดยยังเพิ่มอีก 4 แห่งภายในปี 67
บมจ.เอสชีจี เดคคอร์ (SCGD) มุ่งลดต้นทุน เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ติดตั้ง Hot Air Generator ที่หนองแค ลดต้นทุนได้ 16.8 ล้านบาทต่อปี พร้อมเดินหน้ารุกตลาดเวียดนามสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุด เร่งปรับไลน์ผลิต กระเบื้องเซรามิกเป็นกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 2.5 ล้านตารางเมตร ทั้งยังขยายช่องทางจัดจำหน่าย พร้อมออกสินค้าหลากหลายตอบโจทย์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เปิดร้านจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ V-Ceramic ร้านแรกทางภาคใต้ของเวียดนาม
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 68 เบื้องต้นคาดยังมีความท้าทายสูงต่อเนื่อง จาก Trade War รอบใหม่, การขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลาง, ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากขึ้น จากจีนที่เริ่มฟื้นตัว คาดส่งผลดีไปทั่วโลก และดีมานด์ที่เติบโตต่อเนื่องในเวียดนาม และอินโดนีเซีย