นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) กล่าวว่า บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ยังฟื้นตัวยากจากภาวะชะลอตัวที่ยืดเยื้อ และการบริหารกลยุทธ์ IVL 2.0 ระยะเวลา 3 ปีของบริษัทฯ ที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและขับเคลื่อนประสิทธิผล
สำหรับ Adjusted EBITDA เท่ากับ 427 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการขายที่สม่ำเสมอ ส่วนต่างราคาของอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น และการมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ให้เหมาะสม และลดต้นทุนคงที่ โดยไตรมาสนี้ถือเป็นไตรมาสแรกในปีนี้สำหรับอินโดรามา เวนเจอร์ส ที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี โดยทั้งสามกลุ่มธุรกิจต่างรายงานรายได้ที่เติบโตขึ้น หลังจากที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลงของวัฏจักรเป็นเวลานาน อันเห็นได้จากการระบายสินค้าคงคลังของลูกค้าและอัตรากำไรที่ปรับลดลงก่อนหน้านี้ โดยปริมาณการขายยังคงที่สำหรับกลุ่มธุรกิจ Combined PET และกลุ่มธุรกิจ Fibers ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Indovinya มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วง Peak Season ของตลาดโซลูชั่นทางการเกษตร
แนวโน้มในอนาคต เศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวนท่ามกลางภาวะเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงภาวะถดถอยนี้ ฝ่ายบริหารที่มีประสบการณ์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระหนี้ของธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 ของบริษัทฯ ที่พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนคุณภาพรายได้ในยุคใหม่ที่มีการเติบโตของผลกำไรที่ยั่งยืน ในไตรมาสที่ 3/67 ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละนี้ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนคงที่ได้ถึง 19 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะสามารถลดลงได้เพิ่มเติมตามลำดับในปีหน้าเมื่อได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ อัตราการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 82% ในไตรมาสนี้ จากเดิมที่อยู่ที่ 69% เนื่องจากบริษัทฯ ได้เสร็จสิ้นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพตามแผนงานสำหรับกลุ่มธุรกิจ CPET และกลุ่มธุรกิจ Indovinya ส่วนกลุ่มธุรกิจ Fibers อยู่ระหว่างการดำเนินการ
โครงการการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลของบริษัทฯ มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องตามกำหนด จากการนำแพลตฟอร์ม SAP S/4HANA ERP มาใช้เป็นแกนหลักด้านดิจิทัล ทางอเมริกาเหนือได้รับประโยชน์จากโซลูชั่นการจัดซื้อจัดจ้างที่ใช้เครื่องมือ AI ในขณะที่แพลตฟอร์ม Connected Worker ช่วยยกระดับความเป็นเลิศด้านการผลิต คาดว่าโซลูชั่นการขายและห่วงโซ่อุปทานชุดแรกจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปีหน้า "ผลประกอบการที่ดีขึ้นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าฐานการผลิตที่หลากหลายทั่วโลกของเราส่งผลดีต่อธุรกิจแม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน เราเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกำไรในอุตสาหกรรมของเรา ซึ่งเห็นได้จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทั้งสามกลุ่มธุรกิจของเรา และเรายังคงมองโลกในแง่ดีด้วยความระมัดระวังว่าการฟื้นตัวนี้จะยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีกำลังการผลิตส่วนเกิน นอกจากนี้ เราเริ่มได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในองค์กรของเราปีนี้ ซึ่งรวมถึงการจัดหาเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ ให้กับทีมผู้นำของเรา เพื่อช่วยให้พวกเขาขับเคลื่อนโครงการริเริ่มที่สำคัญภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงของเรา"นายอาลก กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ
ในปีนี้ อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานและโครงสร้างองค์กร รวมถึงการส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ในแต่ละกลุ่มธุรกิจให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างคล่องตัว การปรับโครงสร้างองค์กรของกลุ่มธุรกิจ CPET กลุ่มธุรกิจ Fibers และกลุ่มธุรกิจ Indovinya ภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 เสร็จสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่การดำเนินการสำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Indovida) และธุรกิจรีไซเคิลยังคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ทำให้ทีมผู้บริหารองค์กรมีศักยภาพมากขึ้น และสามารถมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ได้
กลุ่มธุรกิจ CPET (รวมทั้งธุรกิจเคมีภัณฑ์ขั้นกลาง) รายงาน Adjusted EBITDA เท่ากับ 286 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสที่ 3/67 เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของ PET ที่คงที่ และอัตราอ้างอิงที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยอัตราการดำเนินงานสำหรับกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเป็น 84% จาก 69% ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากฝ่ายบริหารได้ดำเนินการตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เสร็จสมบูรณ์
กลุ่มธุรกิจ Indovinya รายงาน Adjusted EBITDA ที่แข็งแกร่งเท่ากับ 103 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญถึง 93% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยช่วงพีคของฤดูกาลเพาะปลูกส่งผลดีต่อธุรกิจโซลูชั่นทางการเกษตร แลกลุ่มสินค้าเคลือบผิวและการก่อสร้างฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มธุรกิจ Fibers รายงาน Adjusted EBITDA เท่ากับ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้รับแรงหนุนจากส่วนต่างราคาของอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มสินค้า Lifestyle และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้า Mobility และ Hygiene ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารมุ่งเน้นลดต้นทุนคงที่ และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มธุรกิจทั้งหมด และการดำเนินการที่เด็ดขาดเพื่อฟื้นคืนส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มธุรกิจหลัก