ใกล้จะปิดปี 67 ก่อนก้าวเข้าสู่ปี 68 ตลาดหุ้นไทยบ้านเราจะมีทิศทางอย่างไร หลังจาก "โดนัลด์ ทรัมป์" คว้าชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 แบบเบ็ดเสร็จ อันดับแรก สงครามการค้ากับจีนมาแน่ !!
แต่ยังมีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องติดตามอยู่บ้าง !! "Wealth Me Please" EP. นี้มาคุยกับ "พี่กวี" หรือ นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย พาไปวิเคราะห์เจาะลึกตลาดหุ้นไทย โดยนายกวี ระบุว่าในช่วงที่เหลือของปี 67 หุ้นไทยคงยังไม่ได้รับประเด็นลบเข้ามามากนัก เพราะนายทรัมป์ยังไม่ได้เข้าพิธีสาบานตน ต้องรอในเดือน ม.ค.68 โดยจากสถิติหลังการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐหุ้นจะเป็นบวกไปประมาณ 3 เดือน
และโดยทั่วไปแล้วในไตรมาส 4 ปกติเป็นช่วงพีคของหลาย ๆ ธุรกิจ อาทิ ส่งออก น้ำมัน ท่องเที่ยว และจะยังคงดีต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า
สำหรับ SET โมเมมตัมเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางที่ดี ได้รับแรงหนุนจากส่งออกที่กลับมาฟื้นตัว และท่องเที่ยวไฮซีซั่น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ นอกจากนี้ เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาทที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อ 1 ต.ค. 67 จนถึง 7 พ.ย.67 ซื้อไปแล้วแค่ 3.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง และปลายปีนี้ยังจะมีเม็ดเงินจากกองทุน ThauESG เข้ามาสมทบด้วย
ดังนั้น จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี ดัชนี SET น่าจะแกว่ง Sideway Up ให้กรอบแนวรับ 1,450 จุด ถัดไปที่ 1,430 จุด ส่วนแนวต้าน 1,480 จุด มีโอกาสขึ้นไปถึง 1,500 จุด
*จับตาปี 68 กุมขมับ ความเสี่ยงมาเพียบ!
นายกวี ระบุว่า เมื่อเข้าสู่ปี 68 มองว่าความเสี่ยงมาเต็ม โดยเฉพาะจากนโยบายของรัฐบาล "ทรัมป์" ที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก นโยบายหลักๆ คือ การลดภาษีในประเทศ แต่จะมาขึ้นภาษีกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน ชี้ให้เห็นว่าสงครามการค้าจะดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น ดอกเบี้ยสูง ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หรืออาจทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็เป็นไปได้
สำหรับปัจจัยในประเทศไทยเอง ก็น่ากังวลว่า หากเศรษฐกิจจีนชะลอต่อไปอีก อาจจะมีผลให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยน้อยลง หรือ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อส่งออก ขณะที่การเมืองจะมีเสถียรภาพหรือไม่ จะมีการยุบสภาหรือไม่ เพราะมีประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการอยู่ของรัฐบาล อาทิ ประเด็นบันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชา (MOU 44) , การแก้ไขรัฐธรรมนูญ , โครงการ Entertainment Complex เป็นต้น
ในปี 68 มองดูมีปัจจัยความเสี่ยงรออยู่เต็มไปหมด นายกวี ให้เป้าหมายดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,560 จุดเท่านั้น จากปี 67 ที่มองจุดสูงสุดอาจไปได้ถึง 1,500 จุด โดยคิดเป็น P/E 15.6 เท่า บนสมมติฐาน EPS ที่ 100 บาท/หุ้น และเม็ดเงินของกองทุนวายุภักษ์ยังเหลืออีกกว่าแสนล้านบาท มองว่าหุ้นไทย P/E เกิน 15 เท่าถือว่าแพงแล้ว
"อะไรที่เราคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้วมันเป็นไปตามคาด ไม่มีแย่ลงก็ดีกว่าคาด ถือว่า Perfect จะไป 1,600 หรือ 1,700 ผมดีใจมาก?แต่ถ้ามันลงมาต่ำกว่า 1,400 หรือ 1,300 คาดว่าวายุภักษ์จะทำงาน ฉะนั้น ต่อให้คุณหวัง Upside มากไม่ได้ แต่คุณก็ไม่ต้องมองว่าจะมี Downside เยอะ" นายกวี ให้มุมมอง
พร้อมชี้ให้เห็นว่าหากโลกเกิดวิกฤติจริงๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยยังสามารถรับมือได้ เพราะหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ 62-63% ต่ำกว่าหลายประเทศ อย่างยุโรป 100% ขึ้นไป สหรัฐฯ 160% อีกทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังอยู่ในระดับสูง , ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนเข้มแข็ง ขณะที่บริษัทเอกชนรายใหญ่ใน SET50 ฐานะการเงินแข็งแกร่ง
*"พี่กวี" แจกโพยหุ้นเด่นปีหน้า
จากสถานการณ์ที่ว่ามาคัดเลือกหุ้นที่น่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้ ดังนี้
1. กลุ่มธนาคาร เติบโตตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ตั้งสำรองหนี้เสียมากพอรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยชะลอ ราคาหุ้นแบงก์ใหญ่ซื้อขาย P/BV ไม่เกิน 0.8 เท่า บางแห่งลงมาถึง 0.5 เท่า อีกทั้งอัตราจ่ายปันผลก็สูงถึง 5% โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ และหากดอกเบี้ยลดลงน้อยกว่าคาดก็ได้รับประโยชน์ แนะนำ BBL ราคาพื้นฐาน 168.00 บาท
2. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของจีน และการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ กลุ่ม EV, กลุ่ม Data Centter แนะนำ WHA ราคาพื้นฐาน 6.60 บาท (คาดยอดขายปรับตัวดีต่อเนื่องไปอีก 2 ปี)
3. กลุ่มอาหารส่งออก เป็นหุ้นปลอดภัยท่ามกลางสงครามการค้า แนะนำ TU ราคาพื้นฐาน 18.30 บาท (จ่ายปันผลสูง)
4. กลุ่มท่องเที่ยว เลือก MINT ราคาพื้นฐาน 36.00 บาท
5. กลุ่มค้าปลีก เลือก CPALL ราคาพื้นฐาน 79.00 บาท (ได้ประโยชน์จาการท่องเที่ยว และมี Synergy ในกลุ่มค่อนข้างดี ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของโลตัสและแม็คโคร)
6.กลุ่มโรงพยาบาล เลือก BDMS ราคาพื้นฐาน 35.00 บาท
7.กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้รับประโยชน์ Data Center เลือก BGRIM ราคาพื้นฐาน 27.00 บาท https://youtu.be/nTsjDYgvesQ