หุ้น CBG บวก 3.25% มาอยู่ที่ 79.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายคึกคักกว่า 336.87 ล้านบาท เมื่อเวลา 14.56 น. โดยเปิดตลาดที่ 78.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 80.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 78.00 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย)(CGSI) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.คาราบาว กรุ๊ป (CBG) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/67 ทำกำไรสุทธิได้ 741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% yoy และ 7% qoq สอดคล้องกับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ และ Bloomberg consensus โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น yoy หนุนโดยยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ เติบโตแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ยังเพิ่มสูงขึ้น
CBG ทำกำไรสุทธิรวม 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% yoy ในงวด 9 เดือนของปี 67 คิดเป็น 74% และ 73% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิเคราะห์ฯและ Bloomberg consensus ตามลำดับ
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า สิ่งที่โดดเด่นของผลประกอบการในไตรมาส 3/67 คือ ยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 8% yoy และ 23% qoq เป็น 1.8 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ข้อมูลของ Nielsen ระบุว่าส่วนแบ่งตลาดด้านปริมาณขายของเครื่องดื่ม "คาราบาวแดง" ทำสถิติ สูงสุดใหม่ที่ 25.8% ในเดือนก.ย.67 เทียบกับ 22.6% ในเดือนก.ย.66
นอกจากนี้ ยอดขายเติบโตสูงยังทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ส่งผลให้ GPM จากการขายเครื่องดื่มบำรุงกำ ลังของ CBG เพิ่มขึ้น 420bp yoy และ 90 bp qoq เป็น 39.8% ในไตรมาส 3/67 ส่วนในต่างประเทศ CBG มียอดขายเติบโต 7.5% yoy เนื่องจากยอดขายในตลาดสำคัญอย่างกัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) กลับมาขยายตัวถึง 24% yoy
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มคาราบาวแดงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ เนื่องจากความได้เปรียบด้านราคา คาราบาวแดงจำหน่ายราคาขวดละ 10 บาท ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งที่จำหน่ายในราคาสูงกว่า จึงเชื่อว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดต่างประเทศเห็นแนวโน้มสดใสเช่นกัน หนุนโดยการฟื้นตัวของยอดขายในกัมพูชา
นอกจากนี้ หากโรงงานในเมียนมาของ CBG สามารถเริ่มผลิตได้ตามแผนในไตรมาส 2/68 คาดว่าจะช่วยให้ยอดขายในครึ่งแรกปี 68 และปี 69 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ CBG สามารถแข่งขันอย่างเท่าเทียมในตลาดเมียนมา เนื่องจากนโยบายจำกัดสินค้านำเข้าของเมียนมา ส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งตลาดของ CBG มาตั้งแต่กลางปี 65
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI แนะนำ "ซื้อ" และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 94.50 บาท หลังเลื่อนระยะเวลาเป้าหมายการลงทุนเป็นสิ้นปี 68 ยังคงเลือก CBG เป็น Top pick ในกลุ่มเครื่องดื่มของไทย เพราะผลกำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงจากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่แข็งแกร่งในไทย อีกทั้งโรงงานในเมียนมาใกล้จะเปิดดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม CBG อาจมี downside risk หากราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในตลาดส่งออกที่สำคัญ ส่วนปัจจัยบวกคือการที่ CBG มีส่วนแบ่งตลาดในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเปิดโรงงานในประเทศนี้ รวมถึงความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่