ปัจจัยดังกล่าวมองว่าจะเห็นการปรับประมาณการณ์ GDP ของสหรัฐในปี 68 เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลมาถึงทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอลงกว่าที่เคยคาดไว้ ซึ่งเบื้องต้นจากการประเมินใหม่หลังนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง คาดว่าการประชุมเฟดในเดือน ธ.ค.67 ถึงสิ้นปี 68 จะลดอัตราดอกเบี้ยรวมกัน 1.25% หรือลดลง 0.25% ต่อไตรมาส จากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยรวมกันเกือบ 2% ภายใต้คาดการณ์ GDP สหรัฐปีนี้จะเติบโต 2.7% และปี 68 จะเติบโตได้ราว 2%
ด้านจีนคาดว่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น และจะมีความชัดเจนออกมาทั้งเรื่องมาตรการสนับสนุนการคลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และคาดว่าจะเกิดผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในตลาดภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนมีโอกาสกลับมาเติบโตในระดับ 6-8% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากในปี 67 และ 68 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโต 4.8% และ 4.6% ตามลำดับ ภาพรวมการลงทุนตลาดโลก ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากภาพรวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโต นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดเกิดใหม่ เช่น ตลาดหุ้นจีน และอินเดีย ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่ามีโอกาสปรับตัวแข็งค่ามากขึ้นหลังจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยอาจปรับลดลงไม่มากแล้ว นอกจากนี้ในกลุ่มตลาดตราสารหนี้อ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแนะนำจากลงทุนเปลี่ยนเป็น Neutral
ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 68 คาดว่าดัชนี SET จะอยู่ในช่วง 1,500-1,600 จุด ที่ P/E ราว 15 เท่า และ EPS Growth อยู่ที่ 8-10% โดยที่ประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกมาจากจีน ทำให้ยังคงเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาต่อเนื่อง และค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่ายังหนุนต่อกลไกขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย คือ การส่งออก