(เพิ่มเติม) PDI เสนอบอร์ดกำหนดนโยบายขายล่วงหน้า 40%,ปีนี้ยังนำเข้าแร่สูงกดดันมาร์จิ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 16, 2008 17:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)เตรียมเสนอบอร์ดกำหนดนโยบายขายล่วงหน้าสังกะสีไม่เกิน 40% ของปริมาณขาย หลังจากที่งดทำสัญญาขายไปเมื่อปีก่อนเพื่อรอการต่ออายุสัมปทานเหมืองแม่สอด ขณะที่คาดว่าราคาสังกะสียังทรงตัวต่อเนื่องถึงปี 52 ผู้บริหารยอมรับปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแรงกดดันจากที่ต้องนำเข้าสินแร่จากต่างประเทศสูงถึง 70% เท่ากับปีก่อน เนื่องจากปริมาณสินแร่ที่ผลิตจากเหมืองแม่สอดยังต่ำกว่าระดับปกติ แต่จะกลับคืนมาในระดับเดิมในปีหน้า 
ส่วนการขยายแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ในปีนี้จะเริ่มสำรวจแหล่งแร่ในพม่าใกล้กับเหมืองแม่สอด ส่วนการสำรวจแหล่งแร่ในลาวที่กำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 53
นายอังเดร์ วัน แดร์ เอเดน กรรมการผู้จัดการ PDI กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัทเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณากำหนดนโยบายขายล่วงหน้าสังกะสีไม่เกิน 40% ของปริมาณขาย 1.1 แสนตัน หลังจากที่ปีก่อนงดการทำสัญญาขายล่วงหน้าเพื่อรอการต่ออายุสัมปทานเหมืองที่แม่สอด โดยคาดว่าราคาสังกะสีในตลาดโลกยังทรงตัวต่อเนื่องในปี 51-52 ที่ระดับ 2.1-2.3 พันเหรียญ/ตัน
"ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ราคาสังกะสียังทรงตัวที่ 2.3 พันเหรียญ/ตัน คาดว่าราคาคงไม่ตกไปที่ระดับพันกว่าเหรียญ ผู้บริหารเตรียมจะเสนอคณะกรรมการกำหนดนโยบายการขายล่วงหน้าไม่เกิน 40% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมียอดขาย 1.1 แสนตัน หากราคาตลาดโลกยังไม่ดีก็อาจจะขายล่วงหน้าไม่ถึงที่กำหนดไว้"กรรมการผู้จัดการ กล่าว
นายอังเดร์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าบริษัทจะได้สัมปทานเหมืองแม่สอด แต่เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มผลิตได้ในเดือน พ.ค.51 ทำให้คาดว่าจะมีปริมาณสินแร่ซิลิเกต 1.25 แสนตัน และแปรเป็นโลหะสังกะสีได้ประมาณ 3 หมื่นตัน จึงยังจำเป็นต้องนำเข้าสินแร่จากออสเตรเลีย และเปรู ประมาณ 70% ส่งผลกดดันต่อมาร์จิ้นของบริษัท เนื่องจากการนำเข้ามีต้นทุนสูง แต่ปีหน้าบริษัทจะกลับมาผลิตแร่จากเหมืองแม่สอดได้ในระดับเดิมที่ 1.75 แสนตัน
แม้ว่าจะมีการนำเข้าสินแร่สูง แต่ในปีนี้ราคาสินแร่ถูกลง ก็น่าจะทำให้ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่อย่างไรก็ตามราคานำเข้ายังสูงกว่าเหมืองแม่สอด ขณะที่ไตรมาส 2/51 ราคาสังกะสีอยู่ที่ 2 พันเหรียญ/ตัน ต่ำกว่าไตรมาส 1/51 ที่อยู่ในระดับ 2.4 พันเหรียญ/ตัน
"ปีนี้เราจะยังคงนำเข้าวัตถุดิบ ก็ยอมรับว่ามีผลกดดันมาร์จิ้น แต่จะกระทบกำไรสุทธิทั้งปีหรือเปล่ายังไม่รู้"นายอังเดร์ กล่าว
นายอังเดร์ กล่าวว่า อย่างน้อยการเปิดทำการเหมืองแม่สอดก็น่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/51 และ ไตรมาส 3/51 ปรับตัวดีขึ้น จากที่ขาดทุนต่อเนื่องในไตรมาส 4/50 และ ไตรมาส 1/51 แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นกับเงื่อนไขที่ว่าราคาสังกะสีจะต้องไม่ต่ำกว่า 2 พันเหรียญ/ตัน และค่าเงินบาทจะต้องไม่แข็งค่าไปกว่านี้ แต่ทั้งปี 51 ก็ยังน่าจะมีกำไรได้เหมือนปีก่อน
ส่วนการก่อสร้าง Oxide Plant มูลค่า 140 ล้านบาทในจ.ระยอง คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในเดือน ส.ค.นี้ โครงการดังกล่าวจะให้การจัดหาวัตถุดิบยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนลดลง 10-15%
นายอังเดร์ กล่าวอีกว่า จากการที่บริษัทก็ได้ทำการสำรวจแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อขยายแหล่งแร่ โดยเข้าไปสำรวจแหล่งแร่แห่งใหม่ในเมืองกาสีของลาว คาดว่าในปี 53 จะสามารถสรุปผลได้ว่าจะมีการลงทุนหรือไม่อย่างไร จากปัจจุบันที่มีเหมืองในลาว 2 แห่ง และในปีนี้ก็จะเริ่มเข้าไปสำรวจแหล่งแร่ในประเทศพม่า ใกล้กับเหมืองแม่สอด ที่จ.ตาก
นอกจากนั้น ยังมองการสำรวจแหล่งแร่ใหม่ ๆ ในเวียดนาม เป็นลำดับต่อไป ส่วนในกัมพูชาจะให้ความสำคัญเป็นอันดับท้ายสุด
นายอังเดร์ กล่าวว่า ส่วนการก่อสร้าง Oxide Plant มูลค่า 140 ล้านบาทในจ.ระยอง คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในเดือน ส.ค.นี้ โครงการดังกล่าวจะให้การจัดหาวัตถุดิบยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนลดลง 10-15%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ