นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ MAGURO ในไตรมาสที่ 3/67 ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 355.7 ล้านบาท เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/67
ขณะที่งบ 9 เดือนแรกของปี 67 มีรายได้รวมที่ 976 ล้านบาท ขยายตัว 27% มากกว่ารายได้รวมใน 9 เดือนแรกของ ปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากสาขาที่เปิดใหม่ 7 สาขา
ด้านกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/67 อยู่ที่ 29 ล้านบาท เติบโต 127% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/66 และกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก เติบโต 6.2% เป็น 62 ล้านบาท
โดยการเติบโตดังกล่าว บริษัทฯได้รับอานิสงส์จากแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้แต่เดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาศักยภาพร้านอาหารให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม หรือ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการ ด้วยคอนเซ็ปต์ Give More Culture หรือ การให้มากกว่าที่ขอ
ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มต้นปี 67 บริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายร้านอาหารเพิ่มแล้ว 11 ร้าน (ครึ่งปีแรกเปิด 2 ร้าน) และ มั่นใจว่าจะสามารถเปิดสาขาได้มากกว่าเป้ารวมที่ตั้งไว้เป็น 13 ร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับ พรีเมียม และพรีเมียม-แมส ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ Maguro จะมีเครือข่ายทั้งหมด 38 สาขา ภายใต้ 5 แบรนด์
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดบริการร้าน อาโอกิ ทงคัตสึ (Aoki Tonkatsu) ร้านอาหารหมูทอดระดับพรีเมียมยอดนิยมจากญี่ปุ่น ในเดือนธ.ค.นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ลอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการต้อนรับจากอบอุ่นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม สมาชิกของมากุโระและลูกค้าใหม่ที่ชอบทานทงคัตสึ
นอกจากนี้ในเดือนหน้า MAGURO จะเปิดร้านอาหารรูปแบบ ใหม่สไตล์ All-Day Dining ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าพรีเมียม และ พรีเมียม-แมส ที่โครงการ The Flavorhood เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด MAGURO ได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ตั้งอยู่บนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่ประกอบไปด้วย 3 ร้านอาหารในเครือ MAGURO ที่มีการตกแต่งผสมผสานระหว่างความร่วมสมัย แต่ยังคง กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden อีกทั้งยังมีความตั้งใจให้โครงการนี้เป็นการต่อยอดแนวทางด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีแผน การติดตั้งจุดชาร์จ EV Charger และ Solar Roof ภายในโครงการ รวมถึงจุดรีไซเคิลขยะพลาสติก และการแยกขยะ อย่างเป็นระบบอีกด้วย
ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 35 ร้านจาก 3 แบรนด์ คือ 1. MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2. SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3. HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน รวมถึงรูปแบบ Specialty เรื่อง Suki ภายใต้ชื่อแบรนด์ HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อกลางเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ MAGURO ยังมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 210,000 ราย จากการที่บริษัทฯ ใช้ระบบ CRM (Customer Relation Management) ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้า ได้อย่างตรงจุด ทำให้ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีตามแบบฉบับวัฒนธรรม Give More ของ MAGURO
"เรามีฐานลูกค้าสมาชิกที่เหนียวแน่นถึง 210,000 ราย เพราะฉะนั้น จากฐานที่แข็งแกร่งนี้รวมกับระบบ CRM ของ MAGURO ทำให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า และส่งมอบประสบการณ์ที่ดี ตามแบบฉบับ วัฒนธรรม Give More ของ MAGURO ได้ อย่างเช่น การร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ต่างๆในหลากหลายรูปแบบ เช่น เชฟ Black จาก Blackish เชฟ ชินจาก Noname Noodle หรือ เชฟ แรนดี้จาก Fillet Omakase และล่าสุด เป็นการร่วมมือกับแบรนด์ไอศครีม Guss Dam Good ที่พัฒนามาเป็นเมนูที่ชื่อว่า Give Good Things ไอศกรีม รสมันหวานญี่ปุ่นครีมบูเล่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปกับ The Flavorhood" นายจักรกฤติ กล่าว
สำหรับภาพรวมทั้งปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจากครึ่งปีหลังนี้ การขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อให้ ครอบคลุมลูกค้าทุกเซ็กเม้นท์ รวมถึงการใช้ระบบ CRM วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งคาด ว่ากลยุทธ์การดำเนินงานดังกล่าวที่วางไว้ จะช่วยผลักดันรายได้ตลอดทั้งปี 67 ขยายตัวต่อเนื่อง และทำให้รายได้เติบโตตามที่คาดไว้ที่ประมาณ 30% จากปี 66