นายสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท (SCL) เปิดเผยว่า แนวโน้มไตรมาส 4/67 ภาพรวมยังไปได้สวย จากดีมานด์ลูกค้าที่เข้ามาในการบำรุงรักษารถยนต์ในช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอะไหล่รถยนต์ของ SCL ที่เติบโตตามจำนวนรถยนต์สะสมในประเทศ รวมทั้ง ทีมผู้บริหารได้ลุยขยายตลาด นำแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมพอร์ต สนับสนุนยอดขายและกำไรให้คึกคัก มั่นใจ หลังปรับประมาณการรายได้ในปี 67 จากเดิมคาดโต 10% เป็นโต 20% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,485 ล้านบาท จะเป็นไปตามที่วางไว้
ผลประกอบการไตรมาส 3/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 13.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 8.06 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากกำไรขั้นต้นและการลดลงของค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.43% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 11.47%
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 415.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 376.99 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์ภายใต้ตราสินค้าของค่ายรถยนต์ต่างๆ (Genuine Parts) 352.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.94% เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการจัดหาอะไหล่เพื่อซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์อย่างต่อเนื่องจากที่มีนโยบายการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อรถใหม่ยังเข้มงวดอยู่ ขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์อะไหล่ทดแทน (Replacement Parts) อยู่ที่ 63.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ขายเครื่องเรือยนต์ 14.70 ล้านบาท และสินค้าที่มีเพียงพอในการจัดจำหน่าย
อย่างไรก็ดี แม้ต้นทุนการขายจะมีการปรับเพิ่มขึ้น 10.35% สาเหตุจากต้องซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายและการลดลงของสินค้าคงเหลือ แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายกลับลดลงคิดเป็น 2.27% ของรายได้การขาย ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.29% เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารก็ลดลงมากถึง 16.92% ตามจำนวนพนักงานที่ลดลงและค่าบริการที่ปรึกษา รวมถึงยังมีการปรับปรุงรายการหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงด้วย
สำหรับกำไรสุทธิงวด 9 เดือน อยู่ที่ 36.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 83.89% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 19.84 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากการมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 10.58% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ในระดับ 11.05% ด้านรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,330.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 1,115.11 ล้านบาท