นายณรงค์ สุวัฒนพิมพ์ รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบ 9 เดือนของปี 67 สามารถทำรายได้รวม 1,591.01 ล้านบาท เติบโต 14.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเข้ามาในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ และมีกำไรขั้นต้น 467.68 ล้านบาท เติบโต 25.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 29.6% จากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการพัฒนาขึ้นจากกำไรขั้นต้น ของธุรกิจกาวอุตสาหกรรม และธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว ด้าน EBITDA อยู่ที่ 271.51 ล้านบาท เติบโต 45.1% และกำไรสุทธิ 94.14 ล้านบาท เติบโต 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/67 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 523.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จาก ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและธุรกิจสติ๊กเกอร์ หรือฉลากที่มีกาวในตัว และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 141.88 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัว และธุรกิจกาวอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 27.6% กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 20.90 ล้านบาท ลดลง 24.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
SELIC มีโครงสร้างรายได้จากการขายและบริการ แบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลักดังนี้ ธุรกิจกาวอุตสาหกรรมอยู่ที่ 27% ธุรกิจสติ๊กเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวอยู่ที่ 43% และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอยู่ที่ 30% จากกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย และครอบคลุมทั้งแบบ B2B และ B2C รวมถึงสัดส่วนของกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วนที่พอเหมาะ ทำให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวในการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจในตลาดต่างประเทศมีความไม่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม โดยในไตรมาส 3 สัดส่วนตลาดในประเทศอยู่ที่ 71% และตลาดต่างประเทศ 29%
"ซีลิคมุ่งเน้นสร้างการเติบโตของรายได้จากทุกกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโต และขยายไปยังตลาดต่างประเทศที่เศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม สร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากผลงานในไตรมาส 3 ปีนี้ ถือว่ายังคงรักษาความสามารถในการดำเนินงานได้ดี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงทรงตัว โดยธุรกิจกาวอุตสาหกรรมและธุรกิจสติ๊กเกอร์ในตัว ยังคงมีความท้าทายจากการส่งออกสินค้าในธุรกิจสติ๊กเกอร์ ซึ่งมาจากการชะลออุปสงค์ของตลาดต่างประเทศที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย และยังกลับมาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้อุปทานที่มีอย่างจำกัด ทำให้การส่งออกของธุรกิจสติ๊กเกอร์มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นสำหรับตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ของตลาดในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้สัดส่วนการขายเคลื่อนตัวมาทางตลาดในประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในไตรมาส 3 ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยังทรงตัว แต่ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้ไว้ต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ ควบคู่การขยายไปยังช่องทางตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เตรียมพร้อมรับโอกาสในอนาคต" นายณรงค์ กล่าว