น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยว่า การควบรวมกันในครั้งนี้ เป็นการลดความซ้ำซ้อนในโครงสร้างการถือหุ้น เนื่องจาก GULF เป็น Holding Company ที่มีการลงทุนในธุรกิจพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการลงทุนในธุรกิจผ่านทางบมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ในขณะที่ INTUCH ก็เป็น Holding Company เช่นกัน โดยมีการลงทุนใน บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ AIS
สำหรับการ Synergy ที่จะเกิดขึ้นในด้านฐานะทางการเงินของบริษัทใหม่ หรือ NewCo's คาดว่า จะมีกำไรเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึง กระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี โดยหลังจากนี้ NewCo's จะถือหุ้นในสัดส่วน 40% ใน ADVANC
และหลังจากนี้ อัตราส่วนทางการเงิน (Leverage Ratio) จะต่ำลง โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio ก็จะลดลง หลังจากการควบรวม จากปัจจุบันที่ 1.8-1.9 เท่า ลงมาต่ำกว่า 1 เท่า เนื่องจาก INTUCH เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้เลย ในขณะที่การรวมส่วนของผู้ถือหุ้นของทั้งบริษัทจะทำให้ Equity Based ใหญ่ขึ้นมาก ซึ่งจะทำให้บริษัทแข็งแรงขึ้น และมีโอกาสในการขยายธุรกิจ หรือต่อยอดธุรกิจทั้งในด้านพลังงาน หรือ ดิจิทัลในอนาคต
ในอนาคตมองว่าเครดิตเรทติ้ง ของบริษัทใหม่ ก็น่าจะมีการปรับขึ้นด้วย เนื่องจากมีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินในอนาคตลดลงได้
นอกจากนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งในส่วนของรายได้และกำไรของกลุ่มธุรกิจ จากการบริหารงานและสร้างความสมดุลทั้งธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และดิจิทัล นอกจากนี้มูลค่ากิจการของกลุ่มบริษัทจะใหญ่มากขึ้น จุดนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ เช่น กองทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย
ทั้งนี้บริษัทใหม่ ยังคงเน้นการเติบโตในธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยสัดส่วนรายได้หลังจากควบรวมแล้วเสร็จ อีก 3 ปี คาดว่ารายได้จากไฟฟ้า-พลังงานประมาณ 60-65%
โดยหากแบ่งประเภทกลุ่มพลังงานจะเน้นพลังงานสะอาด ทั้งโซลาร์ โซลาร์ฟาร์ม โซลาร์แบตเตอร์รี่ โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าเขื่อน โดยบริษัทตั้งเป้า NetZERO ปี 93 และจะตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตให้มากกว่า 40% ภายในปี 78 ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการพลังงานสะอาดในการบริหาร
ด้านธุรกิจดิจิทัลเน้นการเติบโตธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์, คลาวด์, AI, ไซเบอร์ซิเคียวริตี้, crypto exchanges ซึ่งมีพาร์ทเนอร์กับกลุ่ม Binance, ธุรกิจไทยคม, และการลงทุนใน AIS โดยหลังจากนี้บริษัทใหม่จะรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนถือหุ้น AIS ที่เพิ่มขึ้นด้วย
น.ส.ยุพาพิน กล่าวว่า กระบวนการควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH คาดว่าการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นทั่วไป (Tender Offer) สำหรับหุ้น ADVANC และ THCOM จะเริ่มช่วงปลายธ.ค.67 ถึงก.พ.68 และในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/67 จะประชุมผู้ถือหุ้น GULF และ INTUCH ทั้งชื่อใหม่และวัตถุประสงค์ และคาดว่าจะสามารถควบรวมแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/68
*แผนปี 68 รายได้โต 15-20%
แผนงานการเติบโตในปี 68 คาดว่า NewCo's จะสามารถสร้างรายได้เติบโตประมาณ 15-20% และจะรับรู้กำไรโดยตรงใน ADVANC สัดส่วน 40% จำนวนกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี และการเปิดโครงการใหม่ๆ คาดเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าได้อีก 1,500 เมกะวัตต์ เป็น 16,500 เมกะวัตต์ จากการเปิดดำเนินงานโครงการหินกองหน่วยที่ 2 จำนวน 770 เมะกะวัตต์ ช่วงม.ค.ปี 68 นอกจากนี้ยังมีโซลาร์ฟาร์มอีก 5 โครงการ และโซลาร์บวกแบตเตอร์รี่อีก 2 โครงการ ที่จะเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 4/68 และโซลาร์รูฟท็อปจะทยอยเปิดดำเนินการปีหน้าอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์
บริษัทฯ ยังมีแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ประมาณ 70 ลำ หรือ 5 ล้านตัน เพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้า GSRC, GPD, หินกอง ซึ่งบริษัทฯ จะมีรายได้จากค่าจัดส่ง (Shipping fee) ประมาณ 500 ล้านบาท ส่วนโครงการดาต้าเซ็นเตอร์เฟส 1 จะสามารถเปิดดำเนินการได้ช่วงเม.ย.68 สามารถรับรูรายได้ทันที ซึ่งความต้องการกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์มีอัตราการเติบโตสูงตามความต้องการขององค์กรเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ
บริษัทฯ วางงบลงทุนในช่วง 5 ปี (68-72) คาดว่าจะใช้ประมาณ 70,000 - 80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯ ได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เข้ามาแล้ว แต่ยังไม่นับรวมโครงการใหม่อื่นๆ ที่ยังไม่ทราบผลหรือชนะการประมูล
สำหรับปี 67 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 25% โดนในช่วงไตรมาส 4/67 ยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดี หลังจากโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยสุดท้ายเปิดดำเนินการในช่วงต.ค.ที่ผ่านมาทำให้บริษัทรับรู้กำไรเต็มไตรมาส และในไตรมาสุดท้ายนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของพลังงานลม
ด้านการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Beng (โครงการ Pak Beng) ยืนยันไม่มีผลกระทบเขตแดน คาดว่าจะยังดำเนินโครงการได้ต่อ และเมื่อศึกษาเรียบร้อยแล้วจะนำส่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อไป