นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า ได้วางกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างการดำเนินงาน การเตรียมโครงสร้างความพร้อมสำหรับบุคลากรใน OR การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพทั้งภายในและภายนอกองค์กร และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิด Digital Transformation ด้วยการเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บูรณาการการจัดการระหว่างธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกด้วยระบบ SAP S/4HANA ใน 2 อุตสาหกรรม พร้อมพัฒนาระบบติดตามและควบคุมการดำเนินงานแบบศูนย์รวม (Dashboard Control Tower) ที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ รวมถึงต่อยอดสู่การพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจากข้อมูลทางธุรกิจ โดยร่วมมือกับพันธมิตร
ทั้งนี้ OR ได้เสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจในหลายด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาด้าน Mobility ผ่านการเป็น Thailand Mobility Partner ที่ขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ควบคู่กับการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืน (SAF) ร่วมกับการบินไทย เวียตเจ็ทแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ส พร้อมทั้งปรับ Mode การขนส่งโดยเพิ่มการใช้ขนส่งทางท่อแทนทางรถยนต์หรือรถไฟ เพื่อการบริหารจัดการด้านระบบ Logistic ให้ Optimization มากที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา Retail Mixed-Use Platform รูปแบบใหม่ผ่าน PTT Station Flagship ที่มีธุรกิจ Non-oil ถึง 80% และต่อยอดสู่ OR Space ที่มุ่งเน้นธุรกิจ Non-oil 100% รองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับความสำเร็จในธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดย Cafe Amazon ทำยอดขายกว่า 1 ล้านแก้วต่อวัน พร้อมขยายความแข็งแกร่งให้ธุรกิจต้นน้ำผ่าน Cafe Amazon Park ที่ จ. ลำปาง รวมถึงการเปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปเมล็ดกาแฟที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรชุมชนในพื้นที่แล้วกว่า 370 ตัน ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงงานแปรรูปเมล็ดกาแฟต้นแบบแล้ว ยังสร้างการเติบโตร่วมกับชุมชนตามแนวทาง OR SDG ด้วยการพัฒนาระบบ KALA Application เพื่อรวบรวมข้อมูลเกษตรกร พื้นที่ปลูก และคุณภาพเมล็ดกาแฟ
นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไลฟ์สไตล์ผ่านการเปิดร้าน found&found แบรนด์เฮลท์แอนด์บิวตี้รีเทลรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพและความงาม โดยวางแผนขยายเป็น 10 สาขาในปี 2025 พร้อมทั้งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA Margin ปรับเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 30%
รวมทั้ง OR ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยวางรากฐานผ่านการลงทุนใน PTT (Cambodia) หรือ PTTCL ในฐานะ Second Homebase พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้ง Marine Terminal และสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ถนนหุนเซนบูเลอวาร์ด ควบคู่กับการต่อยอดโครงการ Project ONE ในประเทศฟิลิปปินส์ หรือ PTTPC ที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ยังขยายโอกาสทางธุรกิจสู่เวียดนาม ผ่านการสร้างฐานธุรกิจ LPG แห่งใหม่ และขยายแหล่งจัดหาเมล็ดกาแฟใน สปป. ลาวเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
"ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเพียง Milestone ไม่ใช่เส้นชัย เราต้องพร้อมปรับตัว Disrupt ตัวเองก่อนถูก Disrupt และเตรียมพร้อมรับคลื่นลูกใหม่แห่งนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อน OR สู่วิสัยทัศน์ 'Empowering All toward Inclusive Growth' ในการเป็นองค์กรที่เสริมสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน" นายดิษทัต กล่าว
นายดิษทัต เปิดเผยว่า ในปี 68 จะเป็นปีแห่งการลงทุนของ OR โดยเฉพาะในธุรกิจ Lifestyle ผ่านการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาดีลซื้อกิจการ (M&A) อยู่ 2-3 ราย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ EBITDA Margin ของธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 30%
ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้า EBITDA Margin ของธุรกิจ Lifestyle จะเพิ่มเป็น 50% ในอนาคต จากปัจจุบันอยู่ราว 30% เพื่อหนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่ม OR
"ในปีหน้าธุรกิจ Lifestyle จะเป็นดาวรุ่งของกลุ่ม OR เพราะปัจจุบันบริษัทได้ถอนการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้ทำกำไรออกไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการถอนการลงทุนออกไปจำนวน 6 บริษัท ได้แก่ Texas Chicken, บริษัท อิ่มทรัพย์โกลบอล คูซีน จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ชื่อ Kouen, คาเฟ่ อเมซอน ประเทศจีน, FIXX, ลงทุนแมน และธุรกิจ ORBIT Digital
นอกจากนี้ตนอยากเห็น OR เป็นเรือธงของกลุ่ม ปตท. โดยจะทำอย่างไรให้แต่ละธุรกิจโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนได้จากการที่เราไม่ได้วางแผนกลยุทธ์ปีต่อปี แต่วางกลยุทธ์เป็นช่วง 5 ปีข้างหน้า รวมถึงอยากเห็น OR เติบโตอย่างยั่งยืน"นายดิษทัต กล่าว