นายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 68 คาดว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมจะเติบโตราว 1.5-2.5% เป็นอัตราที่ดีกว่าปีนี้ และคาดเบี้ยประกันรับรวมอยู่ที่ 2.91-2.94 แสนล้านบาท เป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 2.3-3.3%
โดยจำแนกแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันภัยแต่ละประเภทในปี 68 ประกอบต้วย ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจคาดว่าจะเติบโต 1-2% ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของยอดขายรถใหม่ในช่วงปลายปี จากเศรษฐกิจที่ได้รับการกระตุ้นจากภาครัฐและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย ขณะที่เบี้ยประกันอาจปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มการซื้อความคุ้มครองที่น้อยลงของผู้บริโภค อาจส่งผลให้เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลง
สำหรับประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ คาดการณ์ในปี 68 มีอัตราเติบโตที่ 1.5-2.5% จากจำนวนรถจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวผลักดันการเติบโต
ด้านประกันอัคคีภัย คาดเติบโต 5.5-6.5% ได้แรงหนุนจากราคาสิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้มสูงขึ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยมีความเสี่ยงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นรุนแรงทุกปี ประกันอัคคีภัยจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัย ขณะที่ประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิดปี 68 คาดเติบโต 3.5-4.5% จากอุตสาหกรรมการผลิตที่คาดว่าจะขยายตัวตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน
นอกจากนี้ ประกันภัยทางทะเลและขนส่งคาดเติบโต 1-2% จากการเติบโตของตลาด e-commerce และความต้องการซื้อขายสินค้าไทย ทั้งนี้ประกันภัยเรือมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยปีละ 8% ซึ่งมีสัดส่วนเป็น 10% ของการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง อย่างไรก็ตามมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์สงครามที่อาจมีความรุนแรงมากขึ้น
ประกันสุขภาพคาดเติบโต 1.5-2.5% เนื่องจากไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้แนวโน้มการเข้าการรักษาโรคมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์สูงขึ้นในระดับ 8-10% ทำให้เบื้ยประกันภัยสุขภาพปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเติบโต 0.5-1.5%
ประกันการเดินทางคาดเติบโต 7.5-8.5% ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว รวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล ด้านประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายปี 68 คาดเติบโต 5.5 - 6.5%
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตธุรกิจประกันวินาศภัย ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลายประเทศมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลงของหลายภูมิภาค ช่วยส่งผลต่อการขยายตัวของผู้บริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจ
ด้านการเติบโตในผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น ประกันสุขภาพ จะเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง จากความต้องการในการซื้อกรมธรรม์ของผู้บริโภคอันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประกันภัยไซเบอร์ จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะความเสี่ยงทางเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ด้านประกันภัยเดินทางจะเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนี้การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (InsurTech) จะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันธุรกิจประกันภัยไปข้างหน้า ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ปัจจัยท้าทายได้แก่ ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับองค์กรทุกระดับ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมซึ่งทำให้ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าของโลกและการขึ้นกำแพงภาษี