นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ โดยยังไม่มีปัจจัยใหม่ ประกอบกับเข้าใกล้วันหยุดเทศกาลปีใหม่ ทำให้การซื้อขายจะชะลอตัว ภาพของตลาดเป็นการแกว่งตัวเพื่อรอปัจจัยใหม่เข้ามา
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยหนุนจากการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) 10 ปี หลังจากปรับตัวขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐชะลอการแข็งค่า ทำให้เป็นปัจจัยที่หนุนต่อตลาดหุ้นได้บ้างในระยะสั้น ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเปิดมาเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งตัวในกรอบแคบ
โดยให้แนวต้าน 1,410 จุด แนวรับ 1,390 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (26 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,325.80 จุด เพิ่มขึ้น 28.77 จุด เพิ่มขึ้น +0.07%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,037.59 จุด ลดลง 2.45 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,020.36 จุด ลดลง 10.77 จุด หรือ -0.05%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 39,672.15 จุด เพิ่มขึ้น 104.09 จุด หรือ +0.26% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,083.44 จุด ลดลง 14.85 จุด หรือ -0.07% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,397.29 จุด ลดลง 0.79 จุด หรือ -0.02%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ธ.ค.) ที่ 1,397.80 จุด ลดลง 3.05 จุด (-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 24,098.70 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 352.50 ล้านบาท (26 ธ.ค)
- ราคาน้ำมัน WTI ส่งมอบเดือนก.พ. (26 ธ.ค.) ลดลง 48 เซนต์ หรือ 0.68% ปิดที่ระดับ 69.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ธ.ค.) อยู่ที่ 3.99 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.14 บาท/ดอลลาร์ ทยอยแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อน-บอนด์ยีลด์ชะลอ ให้กรอบ 34.05-34.25 บาท/ดอลลาร์
- "เอกชน" ชี้เบรกประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3.6 พันเมกะวัตต์ ทำแผนธุรกิจรวน ระบุรับซื้อเฟส 2 กระจายผู้ผลิต เสนอฝ่ายการเมืองรับฟังข้อเท็จจริงเน้นประโยชน์ประเทศ ห่วงเปิดประมูลใหม่ผู้ชนะรอบแรกคว้าชัย "กันกุล" เผยไม่กระทบแผนธุรกิจ ระบุทุกโครงการมีขั้นตอนการตรวจสอบ และอยู่ในกรอบก่อนลงนาม PPA
- ค้าปลีกภูธร ห่วงราคาสินค้าขึ้นแรง ปี 68 ตามค่าแรงงาน 400 บาทต่อวัน ระบุค่าไฟฟ้าแพง ซ้ำเติมกำลังซื้อกลุ่มฐานราก วอนรัฐดูแลค่าไฟฟ้า เร่งออกนโยบายช่วยเหลือ แนะผู้ประกอบการทบทวนแผนธุรกิจ จัดโซนสินค้าใหม่ คัดเลือกสินค้าทำตลาดสอดคล้องความต้องการของกลุ่มลูกค้า
- เอสซีบีอีไอซีชี้ส่งออกไทยปี 2025 ไม่ง่าย จากสงครามการค้า-ถูกตั้งกำแพงภาษีจากนโยบายทรัมป์ 2.0 แก้เกมสหรัฐขาดดุลไทยสูงขึ้นมากในปี 2021 ขอรัฐเตรียมพร้อมรับมือ เจรจาต่อรอง หาวิธีลดความเสี่ยง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันไทย
- ธปท.ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงรัฐบาล ท้วงติงกรณีแจกเงิน 1 หมื่นบาท เฟส 3 แนะแบ่งงบประมาณไปกระตุ้นการลงทุนรัฐเพิ่มเติม ห่วงโครงการใช้เงินสูงสร้างภาระทางการคลังสูง เร่งจ่ายคืนต้นเงินกู้ รองรับการขาดดุลงบประมาณ ขณะที่ นายกฯ เลี่ยงตอบคำถามสื่อ
*หุ้นเด่นวันนี้
- SPRC (เมย์แบงก์) แนะนำ "ซื้อ" เป้าเชิงกลยุทธ์ 11.10 บาท ได้ประโยชน์ทิศทางค่าการกลั่นกลับมาฟื้นตัว โดย 4QTD ค่า GRM เฉลี่ยอยู่ที่ 5.06 เหรียญฯ เพิ่มขึ้น 40%QoQ และน่าจะดีต่อเนื่องไปถึง Q1/68 ขณะที่ปี 68 คาดยังเพิ่มขึ้น YoY จาก Supply Growth เพิ่ม 600 kbpd ราคาหุ้นถูกมากสะท้อนจากซื้อขาย PBV ปี 67/68 ที่ 0.64/0.54 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีเกือบ 2 S.D. และอัตราการจ่ายปันผลปี 67/68 สูงคาดที่ 8.5%/10% มองมีลุ้น Cover Short หลังราคาหุ้นตั้งแต่ต้นเดือนลงไป -8% ส่วนหนึ่งคาดเป็นผลจาก Short Sales สะท้อน Outstanding Short Position เพิ่มขึ้นมากว่า 10 ล้านหุ้นคิดเป็น 68% ของปริมาณซื้อเฉลี่ยต่อวัน แต่จากค่าการกลั่นฟื้นและเข้าใกล้วันหยุดยาวอาจเป็นปัจจัยเร่ง Cover Short
- KTB (ฟินันเซียไซรัส) แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 23.50 บาท นอกจากได้อานิสงส์ sentiment แนวโน้มดอกเบี้ยและ Bond yield ปรับช้ากว่าที่เคยคาดแล้ว ยังได้ประโยชน์โดยตรงจาก Investment cycle ของภาครัฐและเอกชนในปีหน้า, คุณภาพสินทรัพย์น่ากังวลน้อยกว่าธนาคารอื่นคาด NPL ลดลงต่อเนื่อง คาดกำไรปี 67-69 +3.2% CAGR ปัจจุบันมี Valuations ถูก เทรดที่ปี 68 P/BV เพียง 0.7 เท่า
- MOSHI (กสิกรไทย) แนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐาน 53.60 บาท มุมมองเชิงบวกทั้งระยะยาวและระยะสั้น โดยระยะยาวมีศักยภาพขยายสาขาได้เกือบเท่าตัวในห้าง พร้อมโอกาสเติบโตจากโมเดลใหม่ทั้งร้านแบบสแตนด์อโลนและสาขาใหญ่ ตั้งเป้าโต 15-20% ในปี 68 พร้อมเปิด 40 สาขาใหม่ ระยะสั้นคาดไตรมาส 4/67 โตต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกปี 68 สะท้อนจากยอดขายสาขาเดิมตั้งแต่ต้นไตรมาส 4 โต 20% สถานะการเงินแข็งแกร่งไร้หนี้ที่มีดอกเบี้ย และมีโอกาสพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้าจาก 60% ประกอบกับปัจจัยบวกจากค่าเงินหยวนอ่อนค่าเทียบกับเงินบาท