ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) (CGSI) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน ม.ค.68 ยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐช่วง 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 20 ม.ค.68 นี้
กองทุน LTF มีมูลค่าคงเหลือ 2.3 แสน ล้านบาทในสิ้นเดือน พ.ย.67 และผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน LTF ในปี 62 ที่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนโดยไม่ต้องคืนภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ประมาณการว่าอาจมีการขายคืนหน่วยลงทุน LTF มูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาทในเดือน ม.ค.นี้
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมูลค่ารวม 1.48 แสนล้านบาทในปี 67 หลังจากขายสุทธิไป 1.92 แสนล้านบาทในปี 66 และแม้จะเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในตลาดหุ้นไทย หลังมีการเทขายหุ้นอย่างหนักช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่านักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะยังไม่กลับมาลงทุนในไทย เนื่องจากมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ซึ่งรวมถึงไทย ที่มีเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯในช่วง 11 เดือนของปี 67 เทียบกับ 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯในช่วง 11 เดือนของปี 66 อย่างไรก็ตาม เรามองว่าไทยอาจไม่อยู่ในเป้าหมายหลักที่สหรัฐฯเตรียมจะปรับขึ้นภาษีนำเข้า เนื่องจากข้อมูลของ Worldpopulationreview.com แสดงให้เห็นว่าไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯน้อยกว่าจีน, เม็กซิโกและเวียดนาม
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า มาตรการของรัฐบาลไทยจะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอก โดยรัฐบาลไทยมีแผนจะแจกเงิน 10,000 บาทให้ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 32 ล้านคนในวันที่ 29 ม.ค.68 รวมทั้งเตรียมออกมาตรการลดหย่อนภาษีหรือ "Easy E-receipt" ด้วยการให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการระหว่างวันที่ 15 ม.ค.-28 ก.พ.68 มาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะส่งผลดีต่อประชาชนไทยโดยรวม
เราจึงมองว่าหุ้นที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic play) และหุ้นปลอดภัย (defensive play) จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหุ้นที่มีธุรกิจในต่างประเทศ (external exposure) และหุ้นวัฏจักร (cyclical stock) เราจึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,630 จุดหรือเท่ากับ P/E 16 เท่าในปี 68 หรือ -0.75SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ขณะที่เพิ่ม BH เข้ามาในรายชื่อหุ้น Top pick หลังราคาหุ้นปรับตัวลง ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดังนั้น รายชื่อหุ้น Top pick จึงประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB