บล. โกลเบล็ก (GBS) ชี้ดัชนีหุ้นไทยปี 2568 เทรดในกรอบ 1,330-1,530 จุด ได้แรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยขาลง พร้อมส่งซิกธีมกลยุทธ์ Upside หุ้นน่าลงทุน แนะ ช็อป 7 หุ้น CK-BCH-ATP30-D-AU-TNP-HL น่าจับตา
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ไว้ที่ 1,330-1,530 จุด อ้างอิง PE ที่ 13-15 เท่า ด้วยสมมติฐานคาดการณ์ GDP ปีนี้ 2.8% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่เคยใช้กรอบ PE 14-16 เท่า
ในไตรมาสแรกฝ่ายวิจัยมองว่า SET จะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ easy e-receipt, แจกเงินหมื่นผู้สูงอายุ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มลดลง ขณะที่ประเทศจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ แต่ยังคงต้องจับตาปัจจัยด้านความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐที่จะเป็นปัจจัยกดดันยอดส่งออก ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ยังสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
ฝ่ายวิจัย ประเมินกรอบการลงทุนครึ่งปีแรก Sideway 1,330-1,400 จุด พร้อมมองปัจจัยที่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนี คือ อัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาท และน้ำมัน
ทั้งนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ตามทิศทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบ เงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนค่าเนื่องจากเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 34-36 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่คาดการณ์ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 76 ดอลลาร์ ลดลงจากปี 2567 เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และการผลิตเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายอื่นนอกกลุ่ม OPEC+ ขณะเดียวกันความต้องการใช้น้ำมันเติบโตช้าลง ซึ่งเป็นผลจากผู้บริโภครถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น
สำหรับธีมหุ้นน่าลงทุนรับปีมะเส็ง ทางฝ่ายวิจัยได้คัด 2 กลุ่มเด่นน่าลงทุน ได้แก่
1. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยมีมุมมองบวกต่อกลุ่มรับเหมา โดยคาดว่าปี 2568 จะมีงานประมูลเพิ่มขึ้น อาทิ รถไฟฟ้าสายสีแดง 3 สาย รถไฟรางคู่ 6 เส้นทาง มอเตอร์เวย์ 2 สาย ทางด่วน Double Deck และการขยายสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิและเชียงใหม่ มูลค่ารวม 4.9 แสนล้านบาท โดยแนะนำ CK (ซึ่ง Consensus ให้ราคาเหมาะสมที่ 26.50 บาท)
2. กลุ่มโรงพยาบาล มองว่าได้ประโยชน์จากเป้าหมายสู่การเป็น "ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ" (Wellness and Medical Hub) สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) จากกรณีการเข้ามาท่องเที่ยวของต่างชาติ จึงแนะนำ BCH ที่ราคาเหมาะสม Consensus 21 บาท
ขณะที่หุ้นในกลุ่ม mai แนะนำหุ้น ATP30 ให้ราคาเหมาะสม 1.25 บาท จากการเติบโตของรายได้และกำไร เพราะมีจำนวนลูกค้าเดิมให้บริการเพิ่ม และมีการรับลูกค้าใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง, D ให้ราคาเหมาะสมที่ 5.06 บาท ได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเพิ่มขึ้น และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ Easy e-receipt ได้แก่ หุ้น AU ราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท, TNP ราคาเหมาะสมที่ 5 บาท และ HL (อยู่ระหว่างทบทวนราคาใหม่)
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย GBS ประเมินราคาทองคำมีโอกาสพักฐาน เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2568 จากเดิมคาด 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง ประกอบกับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำโดย "ทรัมป์" จะช่วยทำให้สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ชะลอลง เนื่องจากทรัมป์ ไม่สนับสนุนการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำถูกลดความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ มีแนวโน้มทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าจากปัจจัยข้างต้นจะช่วยพยุงราคาทองคำไทย โดยให้กรอบราคาทองคำ Gold Spot ในปี 2568 ไว้ที่ระดับ 2,420-2,740 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ (-7% หรือ +5%) และเมื่อเทียบเป็นราคาทองคำไทยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 39,500-44,500 บาท