ThaiBMA เก็งเอกชนออกหุ้นกู้ปีนี้ 8.5-9 แสนลบ. จับตากลุ่ม High Yield ครบดีล 1.3 แสนลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 9, 2025 16:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวอริยา ตีรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่าในปี 2568 คาดการณ์การออกหุ้นกู้เท่ากับ 850,000-900,000 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีการออกหุ้นกู้ระยะยาวไป 913,141 ล้านบาท โดยในกลุ่ม Investment grade ที่ครบกำหนดในปีนี้เชื่อว่าจะสามารถ Rollover ได้ ขณะที่กลุ่ม High Yield อาจมีการชะลอการออกหุ้นกู้ไปก่อน อย่างไรก็ตามมองว่าสถานการณ์น่าจะไม่ได้แย่นัก

ด้านหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดปี 2568 วงเงิน 893,275 ล้านบาท แบ่งเป็น Investment grade 85% มูลค่า 7.6 แสนล้านบาท ซึ่งจากปีที่ผ่านมา Investment Grade ที่ครบกำหนดสามารถ Rollover ได้มากกว่าที่ครบตามจำนวน เชื่อว่าปีนี้ก็ไม่มีปัญหาในการ Rollover ขณะที่ High Yield 15% มูลค่า 1.3 แสนล้านบาท เป็นกลุ่มที่ต้องติดตาม เนื่องจากปีที่ผ่านมาบางรายอาจต้องเข้าไปหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อชำระคินหุ้นกู้

ขณะที่หุ้นกู้ผิดนัดชำระในปี 2567 วงเงินรวม 3,172 ล้านบาทจากผู้ออก 5 ราย ขณะที่หุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระในปี 2567 รวม 37,963 ล้านบาท จากผู้ออก 17 ราย โดยมี 12 บริษัทที่เป็นผู้ออกรายใหม่ที่เพิ่งเคยเลื่อนกำหนดชำระ

นางสาวอริยา กล่าวว่า บริษัทไหนที่เริ่มเห็นสัญญาณว่าอาจไม่สามารถชำระคืนหุ้นกู้ได้ ก็ต้องไปเจรจาขอยืดหนี้ แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่าทุกรายจะสามารถคืนหนี้ที่เลื่อนชำระมาได้หรือไม่ แต่สิ่งที่สมาคมฯ เห็นคืออย่างน้อยหลายบริษัทต่าง ๆ มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ทั้งนี้ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังชะลอตัว อาจทำให้ปีนี้จะยังเห็นหุ้นกู้ที่ขอเลื่อนการชำระออกไปอยู่

"สำหรับบริษัทใหม่ถ้าจะออกหุ้นกู้ต้องเป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีคุณภาพจากการยกระดับเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวดี หุ้นกู้ที่มีอยู่หากมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องอาจนำไปสู่การขอเจรจายืดหนี้อยู่ดี ซึ่งเดือนม.ค. 2568 จนถึงปัจจุบันมีการแจ้งประชุมผู้ถือหุ้นกู้มาแล้วอย่างน้อย 2 บริษัท"

ด้านหุ้นกู้ ของบมจ.พลังงานบริสุทธิ์ [EA] ที่เลื่อนกำหนดชำระและจะครบกำหนดในปีนี้ ตั๋ว B/E รุ่นเรทติ้ง BBB+ 2 รุ่น มูลค่า 700 ล้านบาทที่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นเจ้าหนี้ ครบกำหนดในเดือนก.ค. 2568 และรุ่นเรทติ้ง BBB+ 2 รุ่น มูลค่า 5,500 ล้านบาท ครบกำหนดเดือนส.ค.2568 เชื่อว่าน่าจะสามารถชำระคืนหนี้ได้ เนื่องจาก EA ยังมีรายได้จากการขายไฟเข้ามา ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น

ขณะที่ประเด็นกฎกระทรวงที่กำหนดการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดให้การลงทุนในนิติบุคคลต่อแห่งได้ไม่เกิน 10% เมื่อนำมารวมกันแล้วต้องไม่เกินทุนเรือนหุ้นรวมและทุนสำรองของสหกรณ์นั้น ๆ โดยปัจจุบันสหกรณ์ถือครองหุ้นกู้ประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 12% แต่เนื่องจากสหกรณ์ขนาดใหญ่ปัจจุบันมีการลงทุนหุ้นกู้มากกว่า 1 เท่า ทำให้สหกรณ์ต้องชะลอการซื้อหุ้นกู้เพิ่มเพื่อทยอยลดสัดส่วนการถือครองให้เป็นไปตามเกณฑ์ภายใน 10 ปี ทำให้สัดส่วนที่สหกรณ์ถือครองหุ้นกู้จะไม่เพิ่มขึ้น

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวถึงภาพรวมการออกหุ้นกู้ในปี 2568 คาดว่าจะใกล้เคียงจากปีก่อน หรืออาจลดลงเล็กน้อย โดยยังมีปัจจัยบวกจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยปรับตัวลดลง รวมทั้งในปี 68 มีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดจำนวนมาก ทำให้บริษัทต่าง ๆ อาจออกหุ้นกู้เพิ่มอีก ขณะที่ปัจจัยลบมองว่านักลงทุนสามารถแยกแยะได้ว่าปัจจัยเฉพาะตัวมากกว่า

ขณะที่มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยปี 2567 เท่ากับ 17.1 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% จากปีที่แล้ว จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเป็นสำคัญ ในส่วนของการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่า 913,141 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อนหน้า โดยหุ้นกู้กลุ่ม High yield มีอัตราการออกลดลงมากกว่ากลุ่ม Investment grade สะท้อนถึงความกังวลและการระมัดระวังการลงทุนของผู้ลงทุนในปีที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการออกสูงสุด 3 อันดับแรก คือกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ และพลังงาน ตามลำดับ

สำหรับการออก ESG bond ในปี 2567 เท่ากับ 179,192 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดยในปีนี้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB) เป็นรุ่นแรก มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และเป็นรุ่นแรกที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศในเอเชีย นอกจากนั้น ยังมีผู้ออก ESG bond รายใหม่จากรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนรวม 6 ราย ปัจจุบันจึงมีผู้ออก ESG bond รวม 35 ราย มูลค่าคงค้าง ESG bond เท่ากับ 815,402 ล้านบาท คิดเป็น 4.7% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yield curve) ในปี 2567 มีลักษณะ Bullish Flattening ที่เส้น Bond yield ปรับตัวแบนราบมากขึ้นจากการที่ Bond yield รุ่นอายุ 1 ปีขึ้นไปปรับตัวลงราว 32-40 bps. มากกว่า Bond yield รุ่นอายุต่ำกว่า 1 ปี โดย ณ สิ้นปี 2567 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 2.02% 2.10% และ 2.30% ตามลำดับ

เส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) ในปี 2567 ของหุ้นกู้อันดับเครดิต AAA ถึง A ปรับตัวลงในช่วง 29-33 bps. ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่หุ้นกู้อันดับเครดิต BBB+ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 bps. จากการระมัดระวังการลงทุนของผู้ลงทุน โดย ณ สิ้นปี 2567 อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนรุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA AA A และ BBB+ เท่ากับ 2.81% 2.99% 3.27% และ 4.67% ตามลำดับ

กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund flow) ของนักลงทุนต่างชาติในปี 2567 เป็นการขายสะสมสุทธิ ตราสารหนี้ไทยจำนวน 67,395 ล้านบาท เป็นผลรวมของการขายสุทธิตราสารหนี้ไทย 125,959 ล้านบาทในสองไตรมาสแรกกับไตรมาสที่สี่ และการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 58,561 ล้านบาทในไตรมาสที่สาม ทำให้การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นปี 2567 เท่ากับ 8.7 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ย 8.7 ปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 8.6 ปีเมื่อสิ้นปี 2566

ขณะที่ผลการสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2568 ผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง รวม 0.50% เหลือ 1.75% จากปัจจุบันที่ 2.25% โดยจะเริ่มมีการปรับลดในช่วงไตรมาส 2 ส่วนคาดการณ์ Bond yield ไทยในปี 2568 คาดว่า Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะปรับตัวลงเฉลี่ย 5-15 bps. จากปลายปี 2567 จากปัจจัยเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ และกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) เป็นสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ