(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงรับบอนด์ยีลด์ขึ้นสูง-ดอลลาร์แข็งค่า กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 13, 2025 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลง ปัจจัยหลักมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(บอนด์ยีลด์)ปรับตัวสูงขึ้น และ US Dollar Index ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เป็นผลจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ดีกว่าตลาดคาด ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่ต่อเนื่อง โดยอาจต้องดูทิศทางเงินเฟ้อก่อน เพราะแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่ใกล้รับตำแหน่งวันที่ 20 ม.ค.นี้ ไม่รู้ว่านโยบายกีดกันทางการค้าจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังดูแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้มีการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหรัฐ พบว่า ความเชื่อมั่นลดลง รวมถึงมีการคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ที่ทำให้บอนด์ยีลด์เพิ่มสูงขึ้นและ US Dollar Index แข็งค่าขึ้น เป็นภาพลบต่อตลาด Emerging Market อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลงลึก เนื่องจากราคาน้ำมันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างแรง มากกว่า 3% ซึ่งน่าจะทำให้กลุ่มพลังงานพยุงตลาดได้

พร้อมให้แนวรับ 1,350 จุด และ แนวต้านที่ 1372 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (10 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,938.45 จุด ลดลง 696.75 จุด หรือ -1.63%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,827.04 จุด ลดลง 91.21 จุด หรือ -1.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,161.63 จุด ลดลง 317.25 จุด หรือ -1.63%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 18,918.15 จุด ลดลง 146.14 จุด หรือ -0.77% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,148.83 จุด ลดลง 19.69 จุด หรือ -0.62% ส่วนตลาดหุ้นโตเกียวปิดทำการวันนี้ (13 ม.ค.) เนื่องในวันบรรลุนิติภาวะ (Coming of Age Day)
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ม.ค.) ที่ 1,367.99 จุด เพิ่มขึ้น 5.02 จุด (+0.37%) มูลค่าการซื้อขาย 42,723.69 ล้านบาท
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (10 ม.ค.) 1,106.14 ล้านบาท
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.(10 ม.ค.) พุ่งขึ้น 2.65 ดอลลาร์ หรือ 3.58% ปิดที่ 76.57 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ม.ค.) อยู่ที่ 2.78 เหรียญ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 34.66 อ่อนค่าเล็กน้อย หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐหนุนดอลลาร์แข็งค่า
  • บริษัทยักษ์เจอผลกระทบ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม "ภาษี GMT" ต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 เลขาธิการบีโอไอ เผยบริษัทไทย-เทศราว 1,000 บริษัท ได้รับผลกระทบกฎหมายนี้ แจงบีโอไอเตรียม 2 มาตรการบรรเทาผลกระทบชั่วคราว "ยืดเวลาชำระภาษี-ดึงเงินกองทุนเพิ่มขีดแข่งขันเยียวยา" พร้อมเร่งนัดถกคลัง สรุปแนวทาง "เครดิตภาษีคืน" เยียวยาภาคธุรกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนไว้ ขณะที่กรมสรรพากรเร่งคลอดกฎหมายลูก 20-30 ฉบับ รองรับการคำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแนวทาง OECD ขณะที่ บจ.ใหญ่เจอผลกระทบราคาหุ้นดิ่ง TU แจ้งอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ
  • ก.ล.ต.รื้อเกณฑ์ margin loan เข้มหุ้น IPO 14 วันแรก ห้ามให้มาร์จิ้น ต้องใช้เงินสดเท่านั้น ปรับลดเพดานปล่อยกู้รวมจากเดิมไม่เกิน 5 เท่าเหลือ 4 เท่าของผู้ถือหุ้น ปรับเพดานปล่อยกู้ต่อรายจากเดิมไม่เกิน 25% ของ equity เหลือไม่เกิน 20% ใน 2 ปีแรก และไม่เกิน 15% ในปีที่ 3 เป็นต้นไป เพื่อลดการกระจุกตัวของความเสี่ยง
  • รัฐ-เอกชน จี้กฟผ.ลดค่าไฟฟ้า เสนอสารพัดสูตร ทำอย่างไรจะหั่นค่าไฟลงให้ได้อีก 45 สตางค์ ด้าน ส.อ.ท.เสนอรีดไขมัน ด้วยการยืดหนี้ค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ.แบกเอาไว้ กับลดค่าความพร้อมจ่าย (AP) ตัวการใหญ่ที่ทำให้ค่า Ft พุ่งลงมา แนะเปลี่ยนสูตรคำนวณค่าไฟฟ้าด้วยการให้ กฟผ.ลดอัตราส่วนผลตอบแทนเงินลงทุน (RO-IC)-ส่วนแบ่งผลกำไรลง
  • ลุ้นบอร์ดกสทช.เคาะจัดสรรคลื่นความถี่พรุ่งนี้ คลื่นความถี่ย่าน 850, 1500, 2100 และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) รองรับเทคโนโลยี 5.5G และ 6G หลังคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคและด้านเศรษฐศาสตร์ไฟเขียวแล้ว ส่วนประมูลวงโคจรดาวเทียม 51 และ 142 องศาตะวันออก ดีเดย์เดือน ก.พ.นี้ "ไทยคม" ตัวเต็ง บล.กสิกรไทย คาดประมูลคลื่นมือถือเร็วสุดเดือน เม.ย.นี้ "ค่ายทรู" เล็งคว้าคลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz ประเมินราคากลาง 3 หมื่นล้านบาท ส่วน "ค่ายเอไอเอส" โฟกัสคลื่นความถี่ย่าน 2100 MHz ที่ปัจจุบันใช้อยู่ ราคากลางประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ NT ไม่พร้อมลงแข่ง มั่นใจแบ่งเค้กลงตัว ส่งผลต้นทุน 2 ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • "จุลพันธ์" รมช.คลังเผย ตั้งบอร์ดพิจารณาโครงสร้างภาษี มุ่งโฟกัสภาษีเอื้อผู้มีรายได้น้อยพร้อมจัดรัฐสวัสดิการ (Negative Income Tax: NIT) เล็งเปิดลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่ปี 2568 ช่วงเดือน มี.ค.นี้ "บสย.-หอการค้าไทย" จับมือแก้หนี้กลุ่มรถกระบะกว่า 2.8 แสนคันไม่ให้ถูกยึด
  • รัฐบาลเพื่อไทย เร่ง "บ้านเพื่อคนไทย" "คมนาคม" ชง ครม.วันนี้ รับทราบลงทะเบียน 20 ม.ค.2568 ผ่านเว็บ www.บ้านเพื่อคนไทย.th คุณสมบัติผ่าน เข้าขั้นตอนจับสลากรับสิทธิ ยืนยันตรวจสอบความโปร่งใส ป้องกันสวมสิทธิ ชง ครม. 13 ม.ค.นี้ ประกาศผลเฟสแรก 5 พันยูนิต มี.ค. ด้าน ธอส.พร้อมปล่อยสินเชื่อ รัฐบาลถกเกณฑ์รายได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท ป้องกันปัญหาต้นทุนจมซ้ำรอยบ้านเอื้ออาทร

*หุ้นเด่นวันนี้

  • CPAXT (เคจีไอ) เป้าพื้นฐาน 39 บาท มุมมองด้านเทคนิค ประเมินราคาหุ้นสร้างฐาน มีโอกาส Technical rebound ประเมินแนวรับ 26 บาท / แนวต้าน 27.5 ? 28.5 บาท กรณี Rebound ผ่านกรอบแนวต้านได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 30 บาท (Stop loss 25.25 บาท) 2) ประเมินราคาหุ้นรับรู้ประเด็นข่าวการเข้าลงทุนโครงการ Happitat ไปพอควรแล้ว เราประเมินราคาหุ้นที่ปรับลง Panic sell ก่อนหน้านี้ หลังการประกาศเข้าลงทุนโครงการ Happitat ไปก่อนหน้านี้ โดยล่าสุดผลการพิจารณาของ กลต. ต่อประเด็นนี้สรุป "ไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน" คาดมีโอกาสพลิกบวกต่อ Sentiment การลงทุน
  • COCOCO (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 13.80 บาท) แนวโน้มไตรมาส 4/67 มีปัจจัยกดดันจากฤดูกาลประกอบกับต้นทุนและค่าใช้จ่าย SG&A ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ทั้งยอดขายและกำไรอาจชะลอตัว QoQ อย่างไรก็ตาม YoY รายได้ยังคงเติบโตสอดคล้องกับตัวเลขยอดส่งออกน้ำมะพร้าวของไทย QTD ที่ยังเติบโตแบบ YoY โดยบริษัทยังคงได้รับคำสั่งซื้อต่อเนื่องจากลูกค้ารายเดิม ขณะที่คำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ทั้งสหรัฐและจีนทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้อาจจะต้องรอดูในช่วงไตรมาส 1/68 ที่กำไรน่าจะกลับมาโต QoQ, YoY ได้ ส่วนภาพรวมปี 68 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ 10,000 ล้านบาท ค่อนข้าง aggressive มาก หนุนจากคำสั่งซื้อจากประเทศจีน-สหรัฐ ผลของการออกสินค้าใหม่กลุ่ม PET รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับจ้างผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในช่วง 2H68 เบื้องต้นตลาดคาดกำไรสุทธิในปี 67-68 ที่ 835 ล้านบาท +55%YoY และ 1,115 ล้านบาท +34%YoY
  • CPALL (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 80.00 บาทเราแนะนำเก็งกำไรเชิง Tactical Callใน CPALL จากมูลค่าหุ้นที่ Fwd PE'69 อยู่ที่ราว 20เท่า ลดลงต่ำถึงระดับ -2SDมี Downside ต่ำหลังถูกเทขายในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2567 ประกอบกับยอดขายสาขาเดิมเดือนธันวาคมที่เติบโต 3-4% ส่งผลให้ไตรมาส 4/2567 มียอดขายสาขาเดิมเติบโตราว 3.5% คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะเติบโตได้ตามคาด และมีโอกาสได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าที่อาจลดลงเหลือ 3.70-3.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งต้นทุนสาธารณูปโภคคิดเป็น 8% ของต้นทุนดำเนินงาน คาดส่งผลบวกต่อกำไรปี 2568ประมาณ 3% สำหรับปี 2568 คาดยอดขายสาขาเดิมเติบโต 3% พร้อมการขยาย 700 สาขา ส่งผลให้รายได้เติบโตในระดับกลางถึงสูงแบบหลักเดียว และอัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสเพิ่มขึ้น 10-30 bps ตามกลยุทธ์เน้นสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ