SPPT คาดปีนี้รายได้พุ่งเกินเป้า 1 พันลบ.ขยับเพิ่มสัดส่วน Non-HDDใน 2ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 20, 2008 10:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์พาร์ท(ประเทศไทย)หรือ SPPT คาดว่า รายได้ในปี 51 น่าจะทำได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 50 ที่ทำได้ประมาณ 700 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทฯจะมีรายได้ที่มาจากธุรกิจ Non-HDD เพิ่มขึ้น ส่วนปีหน้า(52)ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ล้านบาท
การเพิ่มรายได้ในส่วน Non-HDD เกิดจากบริษัทฯได้ลูกค้า NIKON เข้ามา โดยโครงการแรกของ NIKON เริ่มด้วยการมอบหมายให้บริษัทโยกย้ายเครื่องจักรที่มาติดตั้งในพื้นที่ของบริษัทที่อยุธยา เพื่อผลิตชิ้นงานป้อนให้ NIKON โดยในโครงการแรกนี้ทางบริษัทฯไม่ต้องใช้งบลงทุน และขณะนี้ได้เริ่มการผลิตแล้ว
ส่วนโครงการที่ 2 ของ NIKON เป็นโครงการที่ SPPT จะต้องลงทุนเอง โดย NIKON จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทฯ เพื่อผลิตเลนส์ซูม ซึ่ง SPPT จะต้องลงทุนประมาณ 35 ล้านบาท คาดระยะเวลาคืนทุนประมาณ 5 ปี โดยขณะนี้เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเริ่มเข้ามาแล้ว 90%
ทั้งโครงการที่ 1-2 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในเดือน พ.ค.51 โครงการนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะหนุนให้รายได้ของบริษัทฯเติบโตขึ้น ซึ่งได้รวมอยู่ในประมาณการรายได้แล้ว
นายประพจน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีโครงการกับ NIKON เป็นโครงการที่ 3 โดย NIKON ต้องการให้บริษัทฯประกอบชิ้นส่วนบางส่วนให้ ขณะนี้เจรจารายละเอียดไปแล้ว 90% ซึ่งในโครงการดังกล่าวบริษัทฯได้ทำการเช่าพื้นที่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เพื่อขึ้นโครงการตาม layout ของลูกค้าแล้ว
โครงการที่ 3 นี้บริษัทฯยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณรายได้ ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย. และคาดว่าจะเริ่มทำชิ้นงานป้อนให้ลูกค้าได้ในเดือนก.ค.51 และบริษัทฯก็จะรับรู้รายได้ได้ทันที
“โครงการที่ 3 นี้บริษัทฯได้ลงทุนเช่าอาคาร ติดตั้งระบบไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ ส่วน NIKON ก็ย้ายเครื่องที่ใช้ในการผลิตมาให้ เราก็ใช้งบลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้(51) โครงการนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทฯประมาณ 30-40 ล้านบาทในปีนี้ มีระยะเวลาในการทำให้ NIKON ประมาณ 6 เดือนเท่านั้น"นายประพจน์ กล่าว
*เตรียมรับลูกค้าใหม่ 1 ราย คาดสร้างรายได้ 50-60 ลบ./ปี
ประธานกรรมการบริหาร SPPT กล่าวว่า ในธุรกิจ Non-HDD ขณะนี้บริษัทฯกำลังเจรจารายละเอียดกับลูกค้า 2-3 รายด้วยกัน โดยมี 1 รายที่เจรจากันไปแล้ว 70% เพื่อผลิตสินค้าที่ใช้กับเครื่องเล่นเกมส์ ซึ่งบริษัทฯจะเริ่มทดลองผลิตในเดือนมิ.ย.นี้
“หากทุกอย่างเรียบร้อยดี คาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าให้ลูกค้ารายนี้ได้ในเดือนสิงหาคม 51 และจะรับรู้รายได้ได้ทันที โดยบริษัทฯคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้จากลูกค้ารายนี้ประมาณ 50-60 ล้านบาทต่อปี แต่ปีนี้(51)เนื่องจากมีระยะเวลาในการผลิตแค่เดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ดังนั้นคาดว่ารายได้ในปีนี้คงจะได้ประมาณ 20-25 ล้านบาท"ประธานกรรมการบริหาร SPPT กล่าว
นายประพจน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non Hard Disk Drive ให้เป็น 40% ภายในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้าง(ปี 52-53) และอีก 60% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจ Hard Disk Drive (HDD) ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก จากเป้าหมายในปีนี้บริษัทจะสัดส่วนมีรายได้จาก HDD) ประมาณ 83-84% ที่เหลือ 16-17% เป็นรายได้จากธุรกิจ Non-HDD
"บริษัทได้วางกลยุทธ์ใหม่คือ จากเดิมที่บริษัทจะพึ่งพารายได้จากธุรกิจ Hard Disk Drive เกือบ 100% และมีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างน้อย ทางบริษัทฯก็ได้กระจายไปทำธุรกิจ Non Hard Disk Drive ช่วยแก้ปัญหาไม่ต้องพึ่ง HDD มากเกินไป และฐานลูกค้าก็กว้างขึ้นด้วย"นายประพจน์ กล่าว
*ตั้งเป้ารายได้ส่งออก HDD 14-15% ปีนี้ หลังเจรจาปรับขึ้นราคา
ประธานกรรมการบริหาร SPPT กล่าวว่า สำหรับธุรกิจ HDD เนื่องจากประเทศไทยมีฐานลูกค้าค่อนข้างจำกัด ดังนั้น บริษัทฯจึงมุ่งหาลูกค้าจากต่างประเทศคือ จีน, สิงคโปร์ และ มาเลเซีย โดยปีนี้(51)ตั้งเป้ารายได้จากการส่งออก 14-15% ของยอดรายได้จากธุรกิจ HDD จากเดิมที่บริษัทฯมีรายได้ในธุรกิจ HDD จากลูกค้าในประเทศ 100%
“ตอนนี้เราได้ลูกค้าจากมาเลเซีย และสิงคโปร์แล้ว และเริ่มรับรู้รายได้แล้วด้วย ส่วนลูกค้าจากจีนก็อยู่ระหว่างการทดลอง โดยไตรมาส 1/51 มีรายได้จากการส่งออก 8% ของรายได้ที่มาจากธุรกิจ HDD
แต่ในช่วงไตรมาส 1/51 บริษัทฯขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ด้วยเหตุนี้บริษัทฯ จึงกลับไปเจรจากับลูกค้าจากมาเลเซียขอปรับขึ้นราคาขาย 8% โดยเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 ส่วนลูกค้าจากสิงคโปร์ก็ขอปรับขึ้นราคาขาย 3% ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"ประธานกรรมการบริหาร SPPT กล่าว
*เล็งจับมือกับบริษัทรับขนขยะตามบ้านจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่
นายประพจน์ กล่าวต่อว่า บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเม้นท์ จำกัด (SPEE) ซึ่ง SPPT ถือหุ้นอยู่ 50% เดิมตั้งใจว่าจะขายเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเท่านั้น แต่ปัจจุบัน SPPT ปรับกลยุทธทางธุรกิจโดยจะเปิดให้มีการร่วมลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับภาคเอกชน 1 รายเป็นบริษัทรับขนขยะตามบ้าน หากตกลงกันได้ก็อาจจะตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ขึ้นมา โดย SPPT จะเข้าร่วมลงทุนเอง
“ถ้าขายเครื่องอย่างเดียวโอกาสที่จะขายได้แต่ละเครื่องก็ช้า ดังนั้นจึงมองว่าถ้าต้องร่วมลงทุนด้วยก็จะลงทุน อย่างเช่นใครมีวัตถุดิบแต่ไม่มีเงินลงทุนก็มาคุยกันเราได้ ขอให้แค่คุณมีวัตถุดิบ เราก็จะลงทุนเองได้ โดยอาจจะแยกเป็นตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเป็นบริษัทร่วมทุน ตอนนี้ก็มีคุยอยู่กับภาคเอกชน 1 ราย ซึ่งเป็นบริษัทรับขนขยะตามบ้าน จะมีขยะที่เป็นพลาสติกเยอะ ก็หากตกลงกันได้ก็อาจจะตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนใหม่ขึ้นมา"นายประพจน์ กล่าว
นายประพจน์ กล่าวว่า SPEE ได้ตั้งมา2 ปีแล้ว และยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้แก่ SPPT ที่ลงทุนไปเลย แต่การขายเครื่องจักรแปรรูปขยะเป็นน้ำมันในปีนี้(2551)คาดว่าจะทำให้ SPPT สามารถรับรู้รายได้จาก SPEE เป็นปีแรก และคาดว่าจะรับรู้ได้ประมาณ 10 ล้านบาท ส่วน SPEE ก็คาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้
ล่าสุด SPEE ได้ลูกค้าจากเทศบาลเมืองระยอง และเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นายประพจน์ กล่าวว่า นักลงทุนชาวอินเดียมีความประสงค์จะมาลงทุนในประเทศไทย ในการติดตั้งเครื่องจักรการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน โดยได้มองพื้นที่ไว้ 4 จังหวัดด้วยกันคือ เชียงใหม่, เชียงราย, พะเยา และลำปาง แต่เป้าหมายจะเลือกพื้นที่ลงทุนเพียงแค่ 1 แห่งเท่านั้น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดสนใจก็ติดต่อเข้ามาได้ โดยจะต้องมีการจัดหาสถานที่และวัตถุดิบที่เป็นขยะพลาสติก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ