นาย พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย [CIMBT] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารในปี 67 มีกำไรสุทธิ 2,852.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246.8 ล้านบาท หรือ 77.7% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 66 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 9.7% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 13.7% สุทธิกับการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2.6%
รายได้จากการดำเนินงานมีจำนวน 15,102.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,331 ล้านบาท หรือ 9.7% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 66 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่น 1,388,8 ล้านบาท หรือ 49.4% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ จากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หนี้สูญรับคืน และกำไรจากเงินลงทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 237.4 ล้านบาท หรือ 19.9% ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากให้บริการชำระค่าสินค้าและบริการชำระเงิน และค่าธรรมเนียมการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน สุทธิกับการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 295.2 ล้านบาท หรือ 3.0% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 224.7 ล้านบาทหรือ 2.6% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายสุทธิ กับการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปี 67 อยู่ที่ 58.7% ปรับตัวดีขึ้นเทียบกับปี 66 ที่อยู่ 62.7% เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (NIM) สำหรับปี 67 อยู่ที่ 2.2% ลดลงจากปี 66 อยู่ที่ 2.6%เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น
วันที่ 31 ธ.ค.67 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 251.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 324 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็น 77.6% จาก78.9%
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 2.6% ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 ที่ 3.3% สาเหตุเกิดจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในระหว่างงวดปี 67 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และกระบวนการในการเก็บหนี้
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นปี 67 อยู่ที่ 137.9% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 66 ซึ่งอยู่ที่ 124.2%ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.0 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 ธ.ค.67 มีจำนวน 59.8 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 21.6%โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 17.0%