นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ในปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาจมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะโดดเด่นขึ้น ซึ่งเปรียบเทียบจากการผ่อนคลายกฎระเบียบและการจัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหม่ ถึงแม้ความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายยังคงอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ อาจชะลอลงในปีนี้จากการขึ้นอัตราภาษี และอาจเพิ่มขึ้นในปี 2569 หากมีการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% ในขณะที่จีนอาจจะมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโต้แรงกดดันจากภายนอก ทำให้หลายประเทศอาจดำเนินนโยบายการคลังที่รัดเข็มขัดขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินจากภาครัฐอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกได้มากนัก
ขณะที่ธนาคารกลางในประเทศที่สำคัญๆ อาจจะมีการปรัดลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอลง แต่ความเร็วในการลดดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ดังนั้น การจัดพอร์ตต้องเน้นความสมดุลมากขึ้นระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้น
บลจ.กรุงไทย มองโอกาสและปัจจัยที่สำคัญในแต่ละสินทรัพย์ดังนี้
- ตลาดตราสารหนี้ โดยธนาคารกลางหลัก ๆ ของโลกอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง รวมถึงตลาดตราสารหนี้ก็ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยแกว่งตัวระหว่าง "ความหวัง" ของนักลงทุน และ "การดำเนินการ" ของผู้ดำเนินนโยบาย โดยมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยยังไม่ได้สูงเหมือนในต่างประเทศ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความอ่อนแอในประเทศ และความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อประเทศไทยทั้งทางตรงผ่านการส่งออก และทางอ้อมผ่านการอ่อนตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าของไทย ถึงแม้ว่าหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และเงินเฟ้อที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจเปิดทางให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยลงได้ 2 ครั้งในปีนี้ จึงแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTFIXPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ NAV และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้นพลัส (KTSTPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉลี่ยตราสารอายุไม่เกิน 1 ปี
- ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางดอกเบี้ยลดลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนยังได้รับความท้าทายจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของสงครามการค้า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และความสามารถในการบริโภคที่ด้อยลงจากหนี้ครัวเรือน
แนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และอีกกองทุนคือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่ดี
- ตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ว่าจะมีการสะดุดไปบ้างตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่สินทรัพย์เสี่ยงให้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับในปีนี้ มองว่ายังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยธีมการลงทุนใน Tech และ AI ยังคงสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ดีของรายได้ (Earnings Growth) และคาดว่ายังจะเป็นธีมหลักสำหรับตลาดหุ้นในปีนี้ ประกอบกับนโยบายของ ทรัมป์ 2.0 ที่คาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าในเชิง Valuation หุ้นบางกลุ่มมี Valuation ที่เริ่ม "แพง" มี Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต จึงต้องคอยติดตามการประกาศผลประกอบการว่ายังสามารถช่วยสนับสนุนระดับราคาในปัจจุบันได้หรือไม่
ทั้งนี้ แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม โกลบอล อิควิตี้ พาสซีฟ ฟันด์ (KT-GEQ) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน iShares MSCI ACWI ETF (กองทุนหลัก) โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI ACWI
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-WEQ) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB Low Volatility Equity Portfolio (Master Fund) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐาน มีความผันผวนต่ำ ในหุ้นที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และกองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB AMERICAN Growth Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนใน หุ้นของบริษัทสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ มองว่า การที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่อเนื่องยังจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มการเงิน ถึงแม้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีอยู่ แต่อาจจะช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลดีต่อความต้องการสินเชื่อในอนาคต อีกทั้ง กระแสการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ของ ปธน. ทรัมป์ ก็ส่งผลดีต่อธุรกิจกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน จึงแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) (ความเสี่ยงระดับ 7) โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds ? Global Financial Services Fund (กองทุนหลัก) ในหุ้นของบริษัททั่วโลกซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงิน