นายปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 68 การขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน แม้แรงกดดันระยะสั้นจะลดลงตามทิศทางเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่ปรับลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจัยเชิงโครงสร้างจะส่งผลกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบาย Trump 2.0 ของสหรัฐที่จะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันการค้าโลกให้รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกผ่านช่องทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว แต่ปัญหาการเมืองในบางประเทศอาจเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ
ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินโลกในปี 68 จะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยรวม 0.50% น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐที่จะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยทั้งปี 1.25% และ 0.50% ตามลำดับ มากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 ที่เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม
สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง ราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่ำลงตามอุปสงค์โลกชะลอตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump
ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.4% จากผลกระทบการกีดกันการค้ารุนแรงขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศแทน นอกจากนี้ สงครามการค้ารอบใหม่จะทำให้ไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศจะมีปัจจัยกดดันมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกไทยเติบโตชะลอลง โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มกระทบหลายประเทศ
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่น่าจะฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา ในช่วงปีนี้เศรษฐกิจไทยโดยรวมมีความเสี่ยงหลายด้าน ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังฟื้นตัวจำกัด ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะใช้เวลาคลี่คลายส่งผลกดดันการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบที่ยังเปราะบาง ท่ามกลางความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับลดลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปีมาอยู่ที่ 2% ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัวต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะขึ้นกับความจำเป็นในการเตรียมรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่จะเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก
นางสาวเกษรี อายุตตะกะ CFP ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO) กล่าวว่า ในปี 68 การลงทุนในตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ท่ามกลาง 3 ประเด็นสำคัญ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การลงทุนโลก ได้แก่
1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของรัฐบาล Trump 2.0 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดการเงินโลก นโยบายที่สำคัญของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แก่ นโยบายกีดกันผู้อพยพ การผ่อนคลายกฎระเบียบ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และการลดภาษีเงินได้ ซึ่งนโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาดหุ้นสหรัฐ เช่น การผ่อนคลายกฎระเบียบและคุมการขาดดุลงบประมาณ อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสในสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนนโยบายที่ไม่เป็นมิตรต่อตลาดฯ เช่น ยืดอายุการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาร่วมกับการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างมาก อาจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้นและกระตุ้นเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ อาจผลักดันสกุลเงินดอลลาร์ สรอ.ให้แข็งค่ามากขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของ Trump ที่ต้องการให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่า เพื่อสนับสนุนภาคการผลิต
2) ความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ยังหนืด จากผลกระทบของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ ส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้อาจปรับลดดอกเบี้ยได้ช้าลง และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯ ตัวสั้นมีโอกาสปรับลดได้น้อยลง ขณะที่ Bond Yield ตัวยาว มีโอกาสเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield Curve) ชันมากขึ้น ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ตัวสั้น ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้น น้อยกว่าตราสารหนี้ตัวยาว อย่างไรก็ตาม หากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น เช่น กรณีที่มีการตอบโต้ทางการค้ากันรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ตลาดปรับเพิ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed มากขึ้น และส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลงได้
3) กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทิศทางการเงินการลงทุน AI กำลังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI เช่น ศูนย์ข้อมูล ระบบประมวลผล และแหล่งพลังงานที่สนับสนุน AI จะมีความสำคัญอย่างมาก โดยการลงทุนใน AI ไม่เพียงแต่จะสร้างโอกาสสำหรับบริษัทเทคโนโลยี เช่น กลุ่ม Software แต่ยังครอบคลุมถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กลุ่ม Utilities และการใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
เมื่อเรียงลำดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั่วโลก พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นที่สุด มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี และกระจายเป็นวงกว้างขึ้น แต่ด้วย Valuation ที่ค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้ลงทุนระยะยาว โดยคัดเลือกหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่เกาะกระแส AI ผสมผสานกับกลุ่ม Defensive ที่รายได้และกำไรของบริษัท มีความอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจต่ำ
ขณะเดียวกันก็สามารถหาโอกาสจากการลงทุนระยะสั้น ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ทางด้าน ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เผชิญปัจจัยกดดันจาก Bond Yield สหรัฐ 10 ปี ที่เพิ่มสูงขึ้น เงินดอลลาร์ สรอ. ที่แข็งค่า และความไม่แน่นอนบนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จึงอาจยังไม่น่าสนใจลงทุนในระยะสั้น แต่สามารถลงทุนระยะยาวได้ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น ตลาดหุ้นจีน A-Share ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไทย ในส่วนของ ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหุ้นชายขอบที่มีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ สามารถหาโอกาสลงทุนในระยะสั้นได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยท้าทายที่ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้มากขึ้น SCB CIO จึงแนะนำให้ ลดความเสี่ยงให้พอร์ต โดยลงทุนระยะยาวในหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ ที่มี Duration สั้น yield ยังน่าสนใจ พร้อมแบ่งเงินส่วนหนึ่งลงทุนใน REITs / สินทรัพย์ผสม เพื่อสร้างกระแสเงินสด นอกจากนี้ แนะนำลงทุน ทองคำ ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ และสงคราม
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 68 จะความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม คือ "การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)" จากความท้าทายสำคัญ ได้แก่ 1)นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของนายทรัมป์ มีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า
2) ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูลข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก หากพิจารณาจากพฤติกรรมของนายทรัมป์ และ นายอีลอน มัสก์ ที่มักจะใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร 3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯแม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
4) เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับ2ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และ ผลกระทบจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และ 5) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิดCurrency warตามมาส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ในปี 68 ประเมินเป้าหมาย SET Index ที่ 1,550 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่น จะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศสูงและเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการแพทย์และกลุ่มพาณิชย์
สำหรับหุ้นแนะนำแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) Value stock ได้แก่ AOT, BBL และ CPALL 2) Dividend stock ได้แก่ AP, BCP และ LHHOTEL 3) Laggard stock ได้แก่หุ้น BCH, GPSC และ HMPRO และ 4) Mid-small cap growth ได้แก่ AMATA , AU และ INSET