นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP] เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนในปี 68 ไว้ที่ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 8,000-10,000 ล้านบาท ใช้รองรับ Mergers & Partnerships (M&P) ในธุรกิจกล่องกระดาษ, Health care และ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ (Polymer Packaging) ซึ่งยังมีการเติบโตสูง ส่วนที่เหลือราว 3,000-5,000 ล้านบาท จะใช้รองรับการ Maintenance & efficiency
รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 16,127 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่
1. เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาดภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies
2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปี 68 ได้ประมาณ 600 ล้านบาท
3. พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 1 โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวม
4. มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยวางเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็น 39% ในปี 68
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1/68 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับประโยชน์ จากการที่ประชาชนนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้ออาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 67 SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน, EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67 มีรายได้จากการขาย 31,231 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลง 105% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้นและราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซียและผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง
ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 67 ความต้องการของตลาดในอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง
ไตรมาส 4/67 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียนมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ปีที่ผ่านมา SCGP ได้รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นการขายภายในประเทศในอาเซียนรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณการขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน อีกทั้งได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพเติบโต อย่าง Healthcare Supplies การเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ส่วนการบริหารวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) SCGP ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรภายในประเทศเพื่อจัดหาและใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในประเทศที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินในอินโดนีเซียด้วย