ก.ล.ต.กางแผนยุทธศาสตร์ปี 68-70 ยกระดับความน่าเชื่อถือ-ขับเคลื่อนดิจิทัล-sustainable-สร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 30, 2025 14:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดแผนยุทธศาสตร์ปี 2568-2570 มีเป้าหมาย (key result: KR) และโครงการสำคัญ (key initiative) ดังนี้

*KR-1: ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือ (trust & confidence) (น้ำหนักร้อยละ 40)

1.1 ด้านการระดมทุน (fundraising) ในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนไทยเผชิญกับความท้าทายในระบบนิเวศตลาดทุนกลไกในระบบยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่น ประเด็นปัญหาการทุจริตของ บจ. ผู้บริหาร บจ.ถูก forced sell หุ้นที่ไปวางเป็นหลักประกัน ใช้เงินที่ระดมทุนมาผิดวัตถุประสงค์ สะท้อนว่ากลไกการป้องกัน 3 ชั้น (3 lines of defense) ยังไม่เข้มแข็ง ในขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพยังไม่สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทได้อย่างเข้มแข็ง รวมทั้งตลาดหุ้นมีความน่าสนใจลดลงและต้องการการเติบโตในรูปแบบใหม่(new growth) เป็นต้น

ก.ล.ต. จึงได้ดำเนินมาตรการที่เร่งเพิ่มศักยภาพของผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การยกระดับกฎเกณฑ์การอนุญาตซื้อขายหลักทรัพย์และการกำกับดูแล บจ. การเปิดเผยข้อมูลสำคัญทางการเงินและการใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระดมทุนไป การยกระดับและส่งเสริมการทำหน้าที่ของกรรมการ คณะกรรมการตรวจสอบ ออกแนวปฏิบัติการทำหน้าที่ของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และการเสนอแก้ไขกฎหมายให้สำนักงานมีอำนาจกำกับดูแลสำนักงานสอบบัญชี

แผนดำเนินการในปี 2568-2570

  • ประเมินผลของมาตรการที่ดำเนินการ พร้อมสร้างความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและต้นทุนระดมทุน
  • เร่งออกหลักเกณฑ์ให้ผู้บริหารและกรรมการรายงานการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน จำนำ หรือโอนหุ้นให้ผู้รับฝากทรัพย์สินถือแทน
  • ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลที่สะท้อนผลการดำเนินงานหรือแนวทางในการเพิ่มมูลค่าผลประกอบการ และการดำเนินการด้านความยั่งยืนของบริษัท (corporate value-up program)
  • ยกระดับและส่งเสริมการทำหน้าที่ของผู้ตรวจสอบภายใน โดยจะกำหนดคุณสมบัติ และออกแนวปฏิบัติที่ดีและจัดทำแผนพัฒนาวิชาชีพและออกหลักเกณฑ์ให้บริษัทที่จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (Initial Public Offering : IPO) มีผู้ตรวจสอบภายในที่มีคุณสมบัติตามที่สำนักงานกำหนด
  • จัดทำระบบให้ความเห็นชอบที่ปรึกษาทางการเงินและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับที่ปรึกษาทางการเงินที่กระทำผิ ด โดยจะมี การออกกฎเกณฑ์ และจัดทำระบบการให้ความเห็นชอบทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นฐานข้อมูลที่เป็นตัวชี้วัดคุณภาพงานของที่ปรึกษาทางการเงินและมีการปรับปรุงมาตรฐานหรือคู่มือการปฏิบัติงานตลอดจนระบบค้นหาผลงานและประวัติของที่ปรึกษาทางการเงิน

1.2 ด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (trading) ตลาดทุนไทยเผชิญกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับสากล อาทิ สัดส่วนการขายชอร์ต (short selling) และการส่งคำสั่งอัตโนมัติ (program trading) เติบโตขึ้น มูลค่าการซื้อขายลดลงแต่ยังเป็นอันดับต้นของภูมิภาค มีความท้าทายเรื่องการมีข้อมูลซื้อขายและข้อมูลข้ามบริษัทหลักทรัพย์ และการ forced sell หุ้นที่นำไปวางเป็นประกัน เป็นต้น

ก.ล.ต. ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและมีมาตรการที่ดำเนินการแล้ว อันได้แก่ มาตรการจัดการความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ที่ผิดปกติและพฤติกรรมสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม การยกระดับการทำหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ในฐานะองค์กรกำกับดูแลตนเอง (SRO) เพื่อความเหมาะสม สอดคล้องกับการดำเนินงาน และลงนามทบทวนบันทึกความเข้าใจ (Memorandum Of Understanding: MOU) กับ ตลท. เพื่อยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กรอบกฎหมายและกฎเกณฑ์ของแต่ละองค์กร โดยการประสานความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ 2 องค์กรในการกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นธรรม น่าเชื่อถือ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุน

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ประเมินผลของมาตรการที่ ดำเนินการ พร้อมสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้ลงทุนกับการสร้างสภาพคล่องของตลาด
  • เร่งออกมาตรการกำกับดูแลกรณีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ บจ.นำหุ้นของบริษัทตนเองไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันแล้วถูกบังคับขาย เพื่อลดผลกระทบต่อ market sentiment และความเชื่อมั่น
  • เสริมสร้างความโปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพในการส่งคำสั่งซื้อขาย รวมถึงประเด็น short selling และ การส่งคำสั่งอัตโนมัติ โดยจะติดตามสรุปผลมาตรการที่ออกไปก่อนหน้า รวมถึงสรุปแนวทางเกี่ยวกับการเพิ่มความความโปร่งใสของบัญชีไม่เปิดเผยชื่อ
(omnibus account)
  • กำหนดความคาดหวังในการให้บริการตัวกลางด้วยความรับผิดชอบเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดต่อผู้ลงทุน (responsible business) โดยจะจัดทำความคาดหวังในเรื่องการให้คำแนะนำและประเมินผลการปฏิบัติของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)
  • เพิ่มความรัดกุมของการให้วงเงินและให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้า โดยจะปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และผลักดันการพัฒนาศูนย์กลางข้อมูลการใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกัน (securities bureau) เพื่อช่วยในการเปิดเผยข้อมูลหลักประกันในแต่ละหุ้นเพื่อนำไปประกอบการให้
ข้อมูลเครดิตกับลูกค้าและตรวจติดตามการใช้ securities bureau ของ บล. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
  • ยกระดับคุณภาพของผู้ประกอบธุรกิจให้มีความสามารถในการรับมือและตอบสนองต่อภัยทางไซเบอร์ (cyber resilience) โดยจะประเมินและติดตามการแก้ไขช่องโหว่ที่ตรวจพบของกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (Critical Information Infrastructure: CII) และผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มความเสี่ยงสูง สร้างฐานข้อมูลในการกำกับดูแลด้าน cyber resilience ของผู้ประกอบธุรกิจ และจัดการฝึกอบรมสร้างความตระหนักรู้และฝึกซ้อมบุคลากรในภาคตลาดทุน และจัดทำบทวิเคราะห์ภาพรวมอุตสาหกรรม (cyber risk portfolio) และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างกลไกให้เกิดมาตรฐาน IT audit ของประเทศ
  • เพิ่มธรรมาภิบาลและความยืดหยุ่นในการออกกฎเกณฑ์ย่อยและการประกอบธุรกิจอื่นของ ตลท. เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

1.3 ด้านการดูแลผู้เผยแพร่ข้อมูลการเงินและการลงทุน (financial information distributor) เทคโนโลยีการสื่อสารมีพัฒนาการขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้สะดวก และมีการใช้สมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลายในการหาข้อมูลและรับข่าวสารต่าง ๆ นอกเหนือจาก traditional media โดยมีการใช้ข้อมูลจาก social media เพิ่มมากขึ้นและรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากกลุ่ม financial influencer อันส่งผลต่อการตัดสินใจ นอกจากนี้ การ scam และการหลอกลงทุน มีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น

ก.ล.ต. ได้สนับสนุนการสื่อสารเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง ติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและมีมาตรการที่ดำเนินการในการใช้ social listening กำหนดแนวทางสื่อสารให้ความรู้ผู้ลงทุนและติดอาวุธให้ผู้ลงทุน ผ่านช่องทางสายด่วนแจ้ง หลอกลงทุน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ SEC Check First ตลอดทั้งปี เพื่อสื่อสารให้ประชาชนวงกว้างรู้ว่ามีเครื่องมือในการตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยผลสำรวจความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน (stakeholder survey) ปี 2567 ภาพรวมเฉลี่ยดีขึ้นที่ 3.87 คะแนนเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ 3.57 คะแนน และได้รับคะแนนดีขึ้นในทุกด้าน ได้แก่ 1) ความพึงพอใจต่อการบริการที่ได้รับจากบุคลากรของ ก.ล.ต. คะแนน 3.9 (ปี 2566 ที่ 3.59) 2) ความพึงพอใจต่อการสื่อสารและการให้ข้อมูลของ ก.ล.ต. คะแนน 3.89 (ปี 2566 ที่ 3.49) และ 3) ความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของ ก.ล.ต. คะแนน 3.82 (ปี 2566 ที่ 3.64)

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ดูแล Finfluencer ให้เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยจะจัดทำรายละเอียดการกระทำที่ทำได้และทำไม่ได้ การสร้างพันธมิตร ให้ความรู้ และทำความเข้าใจกับทั้ง Finfluencer ผู้ประกอบธุรกิจที่ว่าจ้าง Finfluencer และสื่อมวลชน รวมถึงการจัดทำเกณฑ์กำกับดูแลการจ้าง

Finfluencer ของผู้ประกอบธุรกิจ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เรื่องการใช้ข้อมูลจาก Finfluencers แก่ผู้ลงทุน

*KR-2: ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (digital technology)(น้ำหนักร้อยละ 15)

เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคตลาดทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดี พบว่ายังมีช่องว่างในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เห็นได้จากการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในตลาดทุนที่จำกัด การใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่ระบบนิเวศ (ecosystem) ของสินทรัพย์ดิจิทัลยังไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอเพื่อให้สามารถเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักในการระดมทุนทางดิจิทัลได้ รวมถึงการระดมทุนผ่าน โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment token) และกระบวนการสร้างตัวแทนของทรัพย์สินต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล (tokenization) ยังไม่เป็นที่นิยม

ก.ล.ต. เห็นถึงโอกาสและประโยชน์จากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับตลาดทุนไทยโดยได้ดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ อาทิ การดำเนินการโครงการ DIF ในส่วน web portal เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่น Filing ของตราสารหนี้ การผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อรองรับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (tokenized securities) การมีเกณฑ์รองรับโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่หลากหลาย และยกระดับการกำกับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงปรับแบบฟอร์มมาตรฐาน (single form) ในการเปิดบัญชีลงทุนให้รองรับการเคลื่ อนย้ายหรือส่งต่อข้อมูล (data portability)

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับตลาดทุน โดยจะผลักดันเอื้ออำนวย และประสานความร่วมมือกับผู้ร่วมตลาดที่สนใจพัฒนาระบบ และจะจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับ พ.ร.บ. หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ฯ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางอิเล็กทรอนิกส์
  • เพิ่มการเข้าถึงของผู้ลงทุนผ่าน open data โดย (1) สนับสนุนการพัฒนากลไกการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน เพื่อความสะดวกในการเปิดบัญชี (easy on-boarding) (2) สนับสนุนการพัฒนาระบบที่ช่วยให้เห็นภาพรวมการลงทุน (aggregate
securities portfolio) ของผู้ลงทุนในตลาดทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการการแนะนำและการลงทุน (personal wealth management) (3) สนับสนุนการทำให้ลูกค้ สามารถใช้ข้อมูลข้ามในระบบสถาบันการเงิน (โครงการร่วมระหว่างสำนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)
  • สนับสนุนการใช้กลไกโทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะดำเนินการ (1) ปรับปรุงประกาศ outsource ของ ICO portal เพื่อส่งเสริมบทบาทของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดั้ งเดิมในการเสริมความเข้มแข็งให้ระบบนิเวศของโทเคนดิจิทัลเพื่ อการระดมทุน

(2) เตรียมการเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการกำกับดูแลโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ไปอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เป็นไปอย่างราบรื่น (3) ประสานกับกรมสรรพากรเพื่อสนับสนุนให้มีแนวทางการจัดเก็บภาษีที่ชัดเจนและเหมาะสม (โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (utility token) และ (4) ประชาสัมพันธ์เครื่องมือระดมทุนโดยใช้โทเคนดิจิทัลและ tokenization)

*KR-3: ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ ความยั่ งยืน (sustainable capital market)(น้ำหนักร้อยละ 15)

ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำไปสู่การให้ความสำคัญและการเร่งผนวกปัจจัยด้าน Environment, Social และ Governance (ESG) ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนในวงกว้าง (mainstream) สะท้อนจากความต้องการในการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินด้านความยั่งยืนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในประเด็นต่าง ๆ อาทิ บจ.ต้องทำตามมาตรฐานที่หลากหลาย มีต้นทุนและภาระ ผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนยังมีสัดส่วนไม่มาก และผู้ประเมินภายนอกและผู้ประกอบวิชาชีพยังมีน้อย และต้องการการพัฒนา

ก.ล.ต. เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการด้าน ESG จึงได้ดำเนินการผ่านมาตรการต่าง ๆ อาทิ การสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน ในแบบ 56-1 One Report ให้สอดรับกับมาตรฐานสากล ISSB การส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจตัวกลางในการผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการวิเคราะห์หลักทรัพย์ การให้คำแนะนำการลงทุนและการบริหารจัดการลงทุน

โดยผลสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์ พบว่ามี บล. 30 แห่ง และ บลจ. 16 แห่ง ที่ผนวกปัจจัยด้านความยั่งยืนเพื่อนำไปปฏิบัติจริงแล้ว คิดเป็นร้อยละ 66.7 จากจำนวน บล. และ บลจ. ทั้งหมด 69 แห่ง รวมถึงการจัดทำศูนย์รวมข้อมูลตราสารหนี้และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ESG product platform) เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่มความยั่งยืนได้อย่างครบวงจร โดยผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 87.6 เห็นว่าข้อมูลใน platform เป็นประโยชน์และสามารถนำไปศึกษาต่อยอดได้

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ส่งเสริมภาคธุรกิจให้มีการปฏิบัติด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เหมาะสมกับบริบทของแต่ละธุรกิจ วัดผลและรายงานได้ โดยจะออกเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน ISSB และจะพัฒนาและผลักดัน บจ. อย่างต่อเนื่องในการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน ISSB ให้เป็นไปตาม roadmap โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องสภาพภูมิอากาศ (climate) ควบคู่กับการนำ Human Rights Due Diligence (HRDD) มาปรับใช้และส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
  • ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุนที่มีการลงทุนด้วยความรับผิดชอบ (responsible investment) โดยปรับปรุงเกณฑ์ กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI fund) และให้กองทุนที่ใช้ชื่อ ?ยั่งยืน? หรือ ?ESG? เปิดเผยข้อมูลให้เทียบเท่า SRI fund เพื่อ
ลดความเสี่ยงของการฟอกเขียว (greenwashing) รวมถึงดำเนินการแก้เกณฑ์เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) และร่วมกับภาคธุรกิจในการขยายฐาน SRI fund และ Thai ESG ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น และจะดำเนินการแก้เกณฑ์เพื่อยกระดับศักยภาพของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (climate risk) ที่สอดคล้องกับ ISSB รวมถึงการจัดการส่งเสริมความรู้เรื่องการจัดทำ climate action plan ของ บลจ. ในการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย net zero (transition plan) และประเมินผลการเปิดเผยข้อมูลของกองทุนเพื่อความยั่งยืน (ESG fund)
  • พัฒนาให้เกิดระบบนิเวศรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยสมัครใจ (voluntary carbon market) โดยจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และดำเนินการรองรับให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน อาทิ ข้อสรุปหลักการการเพิ่มสินค้าและตัวแปรอ้างอิงภายในสำนักงาน เช่น คาร์บอนเครดิต (carbon credit), สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (allowance), และดัชนีคาร์บอนเครดิต เป็นต้น และการออกเกณฑ์อนุญาตให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถให้บริการโทเคนดิจิทัลที่นำไปใช้แลกเป็นคาร์บอนเครดิต (tokenized carbon credit) ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานและพร้อมที่จะนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (renewable energy certificate) ได้
  • ผลักดันให้ตัวกลางใช้ปัจจัยด้านความยั่งยืนในการวิเคราะห์และการแนะนำการลงทุน โดยดำเนินการปรับปรุงเกณฑ์ให้ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (investment advisor) ต้องอบรม refresher course ซึ่งมีหัวข้อด้านความยั่งยืน การสร้างแรงจูงใจผ่านการให้ incentive เพื่อ

ยกมาตรฐานความรู้และกำหนดความคาดหวังให้ บล. ใช้ปัจจัยด้านความยั่งยืนในการจัดทำบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม SET50 และการจัดการเสริมสร้างขีดความสามารถ (capacity building) และจะดำเนินการขยายการขับเคลื่อนให้ บล. ทำบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม SET100 และยกระดับศักยภาพ บล. ในการวิเคราะห์ climate risk ที่สอดคล้องกับ ISSB

*KR-4: ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (financial well-being / long-terminvestment) (น้ำหนักร้อยละ 15)

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายกับจำนวนแรงงานที่ลดลงขณะที่ยังต้องเร่งเตรียมความพร้อมให้กับประชากรไทยสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณ และยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องเร่งพัฒนาและเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชน อาทิ บริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินยังไม่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน การเข้าถึงการลงทุนยังมีข้อจำกัด ผู้ลงทุนยังขาดความรู้ และการลงทุนไม่พอรองรับการเกษียณ นอกจากนี้ การออมผ่าน PVD ยังคงอยู่ระดับต่ำ ลูกจ้างกลุ่ม บจ.ที่เป็นสมาชิก PVD มีสัดส่วนน้อย เป็นต้น

โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการผ่านมาตรการในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี อาทิ ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนรวม Exchange Traded Fund (ETF) ให้เทียบเคียงกับสากล เพื่อให้มีความหลากหลาย รองรับความต้องการของผู้ลงทุน ปรับปรุง พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการกำกับดูแลกองทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน การส่งเสริมการขยายฐานนายจ้างและสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรองรับการเกษียณและการเตรียมการรองรับการออมภาคบังคับ ส่งเสริมการลงทุนอย่างมีคุณภาพผ่านการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและการลงทุนในกองทุนรวม โดยพบว่ามีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนที่มีการจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2566

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ติดอาวุธความรู้ให้ผู้ลงทุนในช่วงวัยต่าง ๆ อาทิ วัยนักศึกษา วัยทำงาน และวัยใกล้เกษียณถึงวัยเกษียณ ให้เป็น smart investor ที่ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตนเอง กระจายการลงทุน และดูแลตัวเองได้ ผ่านช่องทางต่าง ๆ1 โดยมีการมองเห็น (impressions) กว่า 4.4 ล้านครั้ง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (reach) ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านคน ยอดเข้าชม (views) กว่า 3 แสนครั้ง และยอดคลิกเพื่อดูเนื้อหาเพิ่มเติม (click rate) กว่า 2 หมื่นครั้ง

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ศึกษาการพัฒนาบัญชีเพื่อการลงทุนระยะยาวรายบุคคล (Thai Individual Investment Account: TIIA) โดยจะสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแนวทางในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ หากได้รับการสนับสนุนทางภาษีจากกระทรวงการคลัง สำนักงานจะจัดทำหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำระบบรองรับต่อไป
  • เพิ่มการเข้าถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนรายย่อย โดยจะจัดทำข้อสรุปแนวทางดำเนินการเรื่องการลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย (เช่น small lot share / fractional DR เป็นต้น) และดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมติดตามและประเมินประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง
  • จัดการโครงสร้างในการกำกับดูแลธุรกิจจัดการลงทุนให้สอดคล้องกับธุรกิจแต่ละประเภท มีความคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างเพียงพอ เข้าใจง่าย และสามารถนำหลักการไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น การคำนวณและเปิดเผย
ค่าธรรมเนียมของกองทุนรวม การจัดการพอร์ตโฟลิโอมาตรฐานของกองทุนส่วนบุคคล และการทำความรู้จักนายจ้าง และสมาชิกของ PVD และดำเนินการออกประกาศ แนวปฏิบัติ และคำอธิบายเพิ่มเติม
  • สนับสนุนให้ บจ. เพิ่มจำนวนลูกจ้างที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก PVD โดยจะปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลในแบบ 56-One Report ให้สะท้อนมุมมองการส่งเสริมให้ลูกจ้างในกลุ่ม บจ.บริหารจัดการเงินออม เพื่อรองรับการเกษียณผ่าน PVD และดำเนินการเพิ่มการขยายฐานสมาชิก PVD ในกลุ่ม บจ. อย่างต่อเนื่อง
  • ตั้งศูนย์ป้องปรามการหลอกลงทุนในตลาดทุน (anti-investment scam center) โดยจะวางระบบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการประชาชน และการตรวจจับการหลอกลงทุน ยกระดับการให้บริการแบบครบวงจรให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน รวมถึงยกระดับกลไกการป้องกันให้กับผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน (เช่น brand rights protection และ blue tick) และสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้ลงทุนถึงช่องทางสายด่วนแจ้งหลอกลงทุน และการเตือนภัยหลอกลงทุนในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
  • ให้ความรู้ผู้ลงทุนให้เหมาะสมกับวัยและกลุ่มต่าง ๆ โดยจะขยายผล e-learning หลักสูตรต้นแบบให้เข้าถึงกลุ่มนักศึกษาและประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
  • ยกระดับให้ผู้ลงทุนเป็น smart investor เข้าใจความเสี่ยง รู้จักสิทธิ และไม่ถูกหลอก โดยจะจัดโครงการให้ความรู้คนวัยใกล้เกษียณ-เกษียณ อย่างต่อเนื่อง

*KR-5: ศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจ (SEC excellence) (น้ำหนักร้อยละ 15)

ก.ล.ต. ได้ประเมินศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจในหลากหลายมิติ ซึ่งอาจยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก โดยจากการทบทวนหลักเกณฑ์รวมถึงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ในปัจจุบัน พบว่ามีโครงสร้างที่ไม่สะท้อนรูปแบบ ลักษณะของการดำเนินธุรกิจยังคงขาดประเด็นในการกำกับดูแลบางเรื่อง และมีความซับซ้อน ทำให้เข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ยาก อีกทั้งการกระทำความผิดมีความซับซ้อน ตรวจจับยาก

ก.ล.ต. จึงได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ อาทิ โครงการ regulatory guillotine เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้แก่ภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงเรื่องการทุจริต แนวทางการติดตามตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยง และการต่อยอด AI-enforcement model เพื่อให้ตรวจจับพฤติกรรมการสร้างราคาหลักทรัพย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ และพัฒนา Audit Quality Indicators (AQIs) dashboard เพื่อใช้วางแผนการตรวจสอบคุณภาพการสอบบัญชี และดำเนินการปรับปรุงชุดข้อมูลทรัพย์สินลูกค้าบริษัทหลักทรัพย์ทั้งระบบในรูปแบบข้อมูลระดับจุลภาค (granular data) เพื่อให้มีข้อมูลที่พร้อมต่อการกำกับดูแลและวิเคราะห์เชิงลึก พร้อมทั้งจัดทำ Risk-Based Approach (RBA) Scoring ด้านความเสี่ยงตามลักษณะของธุรกิจ (inherent risk) สำหรับกิจกรรมและการดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การเสนอขายตราสารหนี้และธุรกิจจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน (LBDU) ให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative)

อีกทั้งร่วมกับ ตลท. พัฒนาระบบ health check ตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงเรื่องการทุจริต การตกแต่งงบการเงินของ บจ. และใช้คู่มือ (playbook) เพื่อตรวจจับสัญญาณความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของ บจ. เพื่อลดความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risks) ของตลาดตราสารหนี้ พร้อมทั้งพัฒนาแผนรับมือความเสี่ยงของกองทุนรวมและจัดทำ playbook ในระดับอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานภายใต้ภาวะวิกฤตต่าง ๆ และจัดให้มีการซักซ้อมในกิจกรรม crisis simulation exercise

รวมถึงยกระดับประสิทธิภาพการทำงานอย่างรอบด้าน ทำให้สามารถจัดการเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถจัดการเคสการตรวจสอบด้านหลักทรัพย์ traditional ในระยะเวลาเฉลี่ย 11.35 เดือน จากเกณฑ์ 18.5 เดือน เร็วขึ้นจากปี 2566 ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 13.01 เดือน โดยเฉพาะการตรวจสอบเคสใหม่สามารถจัดการได้เร็วขึ้นอย่างมาก ส่วนการตรวจสอบด้านสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถตรวจสอบเคสด้านสินทรัพย์ดิจิทัลได้ 23 เคส การจัดการเรื่องร้องเรียนด้านระดมทุน สามารถปิดเคสร้องเรียนด้านระดมทุนได้ 30 เคส การจัดการเรื่องร้องเรียนด้านผู้ประกอบธุรกิจ สามารถปิดเคสร้องเรียนของบล. บลจ. LBDU ได้ 40 เคส และการจัดการเรื่องร้องเรียนด้านสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถปิดเคสร้องเรียนด้านสินทรัพย์ดิจิทัลได้ 146 เคส

แผนดำเนินการต่อไปในปี 2568-2570

  • ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ให้เป็น principle-based เข้าใจง่าย และมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โดยจะจัดทำข้อสรุปหลักการการประกอบธุรกิจ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างการบริหาร ระบบงาน มาตรฐานการให้บริการและการประกอบธุรกิจของ
ผู้ประกอบธุรกิจทั้งกระบวนการ
  • นำชุดข้อมูลทรัพย์สินลูกค้ามาใช้เพิ่มความสามารถของระบบ smart detector โดยจะนำข้อมูลทรัพย์สินลูกค้ามาใช้เพื่อติดตามความเสี่ยงให้ครอบคลุมหลากหลายมิติ (เช่น พฤติกรรมการกระจุกตัวของลูกค้า หลักประกัน และกระบวนการขายผลิตภัณฑ์)
  • นำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับการกำกับดูแลผู้ ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะออกเกณฑ์และพัฒนาระบบการส่งรายงานข้อมูลของผู้ ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงจัดให้มีเครื่องมือในการติดตาม กรณีพบว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือมีความเสี่ยง
ในเชิงภาพรวม จะเตรียมความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น AI) เพื่อมาช่วยในการตรวจสอบแบบ off-site สำหรับการบริหารความเสี่ยงที่ซับซ้อน
  • ยกระดับประสิทธิภาพการจัดการเรื่องร้องเรียนทั้งด้านการระดมทุน ตัวกลางและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะจัดให้มีระบบติดตามเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานได้รับอย่างเป็นระบบและจะใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตามอย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย โดยจะประสานความร่วมมือกับ ตลท. เพื่อให้มีข้อมูลพร้อมใช้ในการพิจารณาตั้งเรื่องและตรวจสอบ และจะนำเทคโนโลยีมาช่วยในการดำเนินการ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการปฏิบัติงาน และจะพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยในการปฏิบัติงานต่อเนื่อง
  • ยกระดับ data-driven organization โดยดำเนินการตามแผน data-driven roadmap ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบายไปถึงการบริหารจัดการข้อมูล
  • ส่งเสริมความรู้และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างต่อเนื่อง (AI, digital &innovative organization) โดยดำเนินการ ดังนี้ (1) เพิ่มขีดความสามารถผ่านการจัดโครงการ AI mini/hackathon เพื่อสนับสนุนการใช้งาน AI ภายในสำนักงาน รวมถึงเสริมสร้างความรู้และความตระหนักรู้ด้าน AI, digital และ innovation ผ่านการสื่อสาร และอบรมเชิงปฏิบัติการ (2) ด้าน process efficiency โดยจะมี AI coaching และ SEC co-pilot playground เพื่อเป็นพื้นที่ให้พนักงานฝึกใช้ชุดคำสั่ง (prompt) ในการใช้งานของตนเอง และ AI clinic ที่สนับสนุนพนักงานแก้ไขปัญหาและแนะนำเครื่องมือในการทดลองใช้ AI ในงานของตนเอง รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงาน (3) ด้าน adoption of digital & AI พัฒนาต่อยอดโครงการ SEC co-pilot ใน use cases ต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของ บจ. (MD&A) สรุปข้อมูลแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ของ บจ.และ One Report เป็นต้น
  • ยกระดับสมรรถนะพนักงานในองค์ความรู้ ทักษะสำคัญและเสริมสร้างศักยภาพผู้นำ โดยการดำเนินการบริหารจัดการกลุ่มศักยภาพสูงและการพัฒนาผู้สืบทอดตำแหน่ง (succession development) เพื่อรองรับการเกษียณ รวมไปถึงเสริมสร้างสุขภาวะและวัฒนธรรมองค์กร

อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ