นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย [SCC] กล่าวว่าทิศทางการดำเนินในปี 68 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 3-5% จากปีก่อน และมุ่งเน้นการบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) ให้มากกว่า 54,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลดเงินทุนหมุนเวียนต่อเนื่อง รวมทั้งพิจารณาขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 68 ที่ 30,000-35,000 ล้านบาท โดยจะลงทุนในโครงการ ลองเชิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochenicals - LSP) 6,000 ล้านบาท
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 68 ยังมองว่าเป็นปีที่มีความผันผวน จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมัน คาดว่าปีนี้ราคาจะปรับลดลงจากนโยบายของนายทรัมป์ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตภายในสหรัฐ ส่งผลให้ต้นทุนของปิโตรเคมีลดลงด้วย
รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในเวียดนามที่ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 8% และในอินโดนีเซียก็ตั้งเป้าเติบโตถึง 6% ซึ่งจะหนุนการเติบโตของกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจอยู่ในประเทศดังกล่าว รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ส่งผลให้ธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้น
ขณะที่โครงการ LSP ที่เลื่อนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ไป 6 เดือนนับตั้งแต่ ต.ค. 67 สถานการณ์ที่ผ่านมายังไม่ค่อยดี ต้นทุนยังค่อนข้างสูง ครึ่งปีแรกอาจยังไม่สามารถเดินเครื่องได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการเดินเครื่องคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และเดินหน้าอย่างระมัดระวัง โดยทิศทางสเปรดปิโตรเคมีในไตรมาส 1-2 ยังไม่ดีขึ้นเช่นเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่คงจะไม่ปรับลงไปมากกว่านี้แล้ว
"ปีนี้เรายังไม่ค่อยมั่นใจว่าปิโตรเคมีจะดีดกลับมาแรง แต่เรารู้ว่ามันไม่ต่ำลงแล้ว แต่ปีหน้าเราเชื่อว่ามันจะดีกว่านี้ มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ"
ล่าสุด บมจ. เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เร่งเดินหน้าโครงการ LSP ด้วยการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว การใช้ก๊าซอีเทนจะได้มาร์จิ้นสูงประมาณ 250 เหรียญต่อตัน โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่ง ก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซ อีเทนให้ได้ภายในปี 2570 โดยโครงการนี้ใช้แหล่งเงินทุนภายในเอสซีจี
ขณะเดียวกัน SCC รุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูซันส์เร่งดันปูนคาร์บอนต่ำ คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน ด้าน เอสซีจี เดคคอร์ ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ เอสซีจีพี ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหารและกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ดันกลุ่มสินค้าสมาร์ทโซลูชัน อาทิ สินค้า Air Quality และ Solar จากแบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งเรื่องคุณภาพอากาศในบ้าน และประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานสะอาด พร้อมออก สินค้ากลุ่มราคาย่อมเยาต่อเนื่อง เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ครบทั้งกลุ่มหลังคา บอร์ด ไม้สังเคราะห์ และผนัง พื้นตกแต่งภายนอกบ้าน รวมทั้ง เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ปี 67 มีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 548 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 21.5% ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังไฟฟ้าสะอาดรวมประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ ในปี 73
นายธรรมศักดิ์ ย้ำทิ้งท้าย "เอสซีจี ปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เชื่อมั่น ปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนได้ต่อเนื่อง"